วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มาฆบูชา เมื่อความรักผ่านพ้น




พระชาย วรธัมโม / เขียน
คมชัดลึก ศุกร์ 14 กุมภาพันธ์ 2557
Email :  shine6819 [@] gmail.com














            ปลายปีที่แล้ววันคริสต์มาสตรงกับวันพระ มาปีนี้วันวาเลนไทน์ตรงกับวันมาฆบูชา การที่วันสำคัญทางศาสนาของคริสต์และพุทธมาตรงกันเหมือนกำลังบ่งบอกว่าแท้จริงแล้วศาสนาล้วนเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันแห่งความรักตรงกับมาฆบูชาซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

            เมื่อวันวาเลนไทน์มาถึงเรามักจะมุ่งไปที่ภาพการผลิบานของความรักระหว่างคนสองคน ความหวานฉ่ำของความรัก ความรู้สึกอบอุ่นไปกับความรัก วัยรุ่นมีการซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงเอามาแปะที่เสื้อให้ดูเก๋ไก๋ ใครมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจหลายดวงแปะบนเสื้อแสดงว่าคนนั้นป๊อปปูล่าร์มาก

            สำหรับพุทธแล้วเรามองว่าทุกสิ่งอย่างมีการเริ่มต้น ตั้งอยู่ และสูญสลาย ในเทศกาลแห่งความรักเรามักมองเห็นแต่ด้านผลิบานของความรัก ความสวยงาม ความสดใส แต่เรามักลืมไปว่าความรักก็มีวันสิ้นสุด

            โดยทั่วไปคนหนุ่มสาวไม่ว่าจะรักเพศเดียวกันหรือรักต่างเพศ ต่างค้นหารักแท้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ผู้เขียนมองต่างมุมว่าแท้จริงแล้วรักแท้ที่เราเฝ้าค้นหากันนั้นเป็นเพียงอุดมการณ์ที่มนุษย์เราสร้างกันขึ้นมาเอง
 
            เราสร้างอุดมการณ์ความรักขึ้นมาด้วยการเฝ้ารอคนอีกคนหนึ่งให้มารักเรา มาปรนเปรอตัวตนของเราให้พองฟู ให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่าเพราะมีคนมารัก จนบางครั้งเราทุ่มเทให้กับความรักมากจนเกินไป ยึดติดกับคนที่มารักเรามากจนเกินพอดี มากเสียจนคนที่มารักเราขาดความเป็นตัวของตัวเองเพราะเขาถูกคาดหวังให้เป็นไปในแบบที่เราต้องการ คนที่มารักเราจึงขาดอิสรภาพเพราะเขาถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น ต้องมีดอกไม้ให้ทุกวัน วันหยุดต้องไปเดทกัน ต้องรักเราเอาใจใส่เรา ห้ามหันไปมองคนอื่น ความรักแบบนี้จึงไม่ใช่ความรักแต่เป็นความเห็นแก่ตัว อยากให้ตัวเรามีคนมารัก มีคนมาเอาใจใส่ มาพะเน้าพะนอ ในที่สุดตัวตนของเราก็พองฟู แท้จริงแล้วเราไม่ได้รักคนที่มารักเราแต่เรารักตัวเราเองมากกว่า ยามใดคนที่เรารักไมได้ทำให้สิ่งที่เราพึงพอใจเราก็จะรู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวัง ตัวตนของเราก็แทบจะมอดไหม้ไปกับโทสะที่เผารน นำไปสู่การอาฆาตจองเวรคนที่เราเคยรัก





            ดังนั้นรักแท้จึงไม่ได้มีอยู่จริงเพราะเป็นอุดมการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนสองคนจะรักกันจริงจัง ทุกวันเวลาไม่ได้ทำอะไรมีแต่ความรักความคิดถึงที่ส่งให้กันตลอดเวลา แท้จริงแล้วความรักมีวันจืดจางลงไปตามกาลเวลาเหมือนสำนวนที่ว่า “ข้าวใหม่ปลามัน” เริ่มแรกของความรักความสัมพันธ์ย่อมอร่อยเหมือนข้าวที่เพิ่งหุงสุกใหม่ ๆ ปลาก็มีรสชาติหวานมัน แต่หากกินแต่ข้าวมื้อเดิมกับข้าวเดิม ๆ ทุก ๆ วันก็ย่อมมีวันเบื่อหน่ายกันไป  ในที่สุด “ข้าวก็ไม่ได้ใหม่ปลาก็ไม่ได้มัน” อีกต่อไป เป็นไปไม่ได้ที่ความรักจะสดใหม่ตลอดเวลา และเป็นไปไม่ได้ที่ความรักจะไม่มีความขัดแย้งเข้ามาแทรก  อย่างไรเสียในความสัมพันธ์ก็ต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าคู่ความสัมพันธ์นั้นจะแก้ไขความขัดแย้งกันด้วยวิธีใด

            บางทีรักแท้อาจจะมีอยู่จริงก็ได้ในแบบที่คนสองคนถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นต่างหาทางปรับตัวเข้าหากัน แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าคู่รักก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้กันทุกคู่ รักแท้จึงใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ เราทราบกันดีว่าคู่รักแต่ละคู่กว่าจะผ่านความยาวนานของความสัมพันธ์กันมาจากสิบปีเป็นยี่สิบปี จนกระทั่งกลายมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากแก่ชราลงไปต้องใช้ความอดทนและผ่านการให้อภัยกันมามากมายเพียงใด รักแท้จึงไม่มี มีแต่รักที่อดทน





            กับความรักอีกรูปแบบหนึ่งคือ “รักแท้แค่ชั่วคราว” ตอนที่รักกันอาจจะตั้งความหวังไว้ว่าเราจะรักกันตราบนานเท่านาน ความรักของเราจะไม่มีวันสิ้นสุดเป็นรักแท้ยั่งยืนตลอดกาล แต่เมื่อเหตุปัจจัยมาถึงรักแท้นั้นก็ไม่สามารถคงอยู่ได้อีกต่อไป จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม นั่นอาจเป็นรักแท้ก็ได้แต่เป็นรักแท้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มายความว่าให้เราสูญสิ้นศรัทธาไปกับความรัก เพราะการมองความรักว่ามีวันสิ้นสุดเป็นเรื่องของความไม่ประมาท เมื่อเราไม่ประมาทในความรักเราก็จะมองความรักอย่างที่มันเป็นจริง ๆ ไม่คาดหวังในความรักมากจนเกินไป ไม่เพ้อเจ้อปรุงแต่งไปกับความรักมากจนเกินพอดี แต่พร้อมจะรับมือกับความไม่เที่ยงของความรักที่จะแปรผันเข้ามา

            มีหลายคนทีเดียวที่ไม่อาจยอมรับได้เมื่อความไม่เที่ยงของความรักปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าต่อตา บางคนไม่อาจทนทานมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปจนต้องยอมตายไปกับความรักที่สูญสิ้น ในขณะที่ความรักที่จบลงโดยไม่มีห่วงให้ต้องรับผิดชอบก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเท่ากับความรักที่จบลงแต่มีห่วงให้ต้องรับผิดชอบต่อกัน นั่นก็คือลูกที่เกิดมา คู่รักบางคู่สามารถจัดการได้ดีกับความรักที่จบลงแม้จะมีลูกด้วยกัน แต่บางคู่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรกับสถานะใหม่ในแบบที่ครอบครัวไม่สามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้อีก 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนได้ให้คำปรึกษาชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชีวิตครอบครัวของเขาได้จบลงแล้วแต่เขายังไม่จบ เขาไม่สามารถรับได้กับสภาพการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบัน เมื่อสมัยเริ่มต้นชีวิตคู่ก็ราบรื่นดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปความขัดแย้งก็เริ่มปรากฏ สองคนต่างใช้ความรุนแรงเข้าหากัน ไม่เคยมีการปรับความเข้าใจกัน จนในที่สุดเขาและเธอก็ต้องยุติความสัมพันธ์ลงโดยฝ่ายหญิงเป็นผู้ดูแลลูก



กาลเวลาผ่านไปเขามีอายุมากขึ้น เขาเริ่มมองไปข้างหน้าถึงปัจฉิมวัยที่กำลังจะมาเยือน เขาอยากมีภาพครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาในความหมายของพ่อแม่ลูก แต่ฝ่ายหญิงปฏิเสธ ผู้เขียนจึงให้สติกับชายผู้นั้นไปว่าบางครั้งเราก็ต้องยอมรับความจริงของชีวิตว่าเราไม่สามารถเรียกความสัมพันธ์นั้นกลับคืนมาได้อีก เพราะตอนที่อยู่ด้วยกันมีแต่การสร้างความเจ็บปวดให้กันและกัน สร้างเวรสร้างกรรมให้กันและกัน ถ้าเรายังยืนยันที่จะอยู่ด้วยกันทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธแม้ว่าจะมีลูกด้วยกันมาก็ตาม การกลับมาอยู่ด้วยกันก็รังแต่จะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด การเดินคนละเส้นทางในเวลานี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้จะเคยเป็นคู่สามีภริยากันมา แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งความเป็นสามีภริยาได้สิ้นสุดลงไปก็ไม่ได้หมายความว่าความเป็นพ่อแม่จะยุติลงไปด้วย คุณและเธอก็ยังเป็นพ่อแม่ของลูกแม้จะไม่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ไม่ได้มีคำว่าครอบครัวแล้ว แต่บทบาทความเป็นพ่อแม่ก็มิได้ยุติลงไป สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะสามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือการดูแลลูกอยู่ห่าง ๆ การช่วยเหลือสนับสนุนเขาในด้านทรัพย์และวัตถุเท่าที่คุณจะสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเหมือนครั้งอดีตก็ได้ 

ในที่สุดชายคนนั้นก็เข้าใจสถานะที่เขากำลังยืนอยู่มากขึ้น ยอมรับมันได้มากขึ้นเพราะที่ผ่านมาเขามีภาพครอบครัวในฝันที่คาดหวังจึงสับสนไปกับสถานะปัจจุบันที่เป็นอยู่

ในท่ามกลางเทศกาลการเฉลิมฉลองความรักแห่งเดือนกุมภาพันธ์ หนุ่มสาวและวัยรุ่นทั้งหลายทั้งที่กำลังค้นหาความรักมองหาความรักและที่กำลังมีความรัก อย่าลืมมองลึกลงไปให้เห็นอีกด้านหนึ่งของความรักที่มีอยู่จริง นั่นก็คือด้านที่ความรักต้องดับมอดลงไปตามกาลเวลาและด้วยเหตุปัจจัย เราจะได้ไม่เผลอสติหลงทางไปกับความรักที่ผันแปรหมุนเวียนเปลี่นผันไปในสังสารวัฏแห่งนี้. 

....