วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุกอย่างไม่เคยว่างเปล่า...จาก บันทึกถึงพ่อ



'ทุกอย่างไม่เคยว่างเปล่า'  จาก  บันทึกถึงพ่อ

พระชาย วรธัมโม                          

                                                                   คมชัดลึก  พุธ  21  พฤศจิกายน  2555



          เมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนเพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปคือโยมพ่อ ก่อนนี้เคยคิดและจินตนาการอยู่เหมือนกันว่าหากวันใดเราสูญเสียท่านไปคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อวันลาจากมาถึงก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน ทรมานทั้งผู้ที่กำลังจะจากไปและทรมานทั้งผู้ที่ยังอยู่

          ผู้เขียนเคยมีความสงสัยอยู่ลึกๆ เช่นกันว่าหากเราตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่าสมาชิกในบ้านคนหนึ่งหายไปไม่กลับมา การดำเนินชีวิตของสมาชิกที่เหลือและบรรยากาศในบ้านจะเป็นอย่างไร ในที่สุดความสงสัยนั้นก็ถูกทำให้หายไปเมื่อเราต้องประสบกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยตนเอง

          เราพบว่ามันคือความว่างเปล่า คือห้วงเวลาของความคิดคำนึง อาลัยอาวรณ์ เศร้าสลด กึ่งหลับกึ่งตื่น คล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความฝัน ทางกายก็มีอาการรับประทานอาหารไม่ลง ทางจิตก็มีภาวะหดหู่ซึมเศร้าไม่เบิกบาน ภาวะของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นอย่างนี้นี่เอง

          แต่ประสบการณ์การลาจากสำหรับแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนบอกว่าตอนพ่อแม่เสียก็สามารถยอมรับและผ่านสถานการณ์นั้นไปได้ด้วยดีไม่มีร้องไห้ ไม่หดหู่ซึมเศร้า แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือผ่านไปด้วยความยากลำบาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังผ่านไปก็คือการเรียนรู้

การลาจากเป็นความทุกข์ทรมานก็จริงแต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางของมันเอง ไม่มีความทุกข์ทรมานใดจะคงทนอยู่อย่างถาวรตราบเท่าที่เราไม่ยึดติดมันไว้ เมื่อถึงเวลาความทุกข์นั้นก็ต้องสูญสลายไปเหลือไว้แต่ความทรงจำและภาพของความรู้สึกดีๆ และชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

          ที่ผ่านมาผู้เขียนมีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพ่อที่อยากแบ่งปัน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน

          แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของผู้เขียนกับโยมพ่อเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นเท่าไรเพราะโยมพ่อไม่เคยยอมรับการออกบวชของผู้เขียนเลย

โยมพ่อเกิดที่เมืองจีนลงเรือหนีความยากจนจากประเทศจีนมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ถ้าไม่หนีมาอยู่เมืองไทยก็ต้องเป็นลูกชาวนายากจนอยู่ที่นั่น เวลานั้นญาติๆ ของพ่อก็สนับสนุนให้อพยพไปอยู่เมืองไทยกัน เมื่อมาอยู่เมืองไทยก็มีชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ต้องดิ้นรนขายผักตั้งแต่เล็ก พ่ออ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้แต่พูดไทยได้และเขียนภาษาจีนเก่ง  เมื่อโตขึ้นแต่งงานกับแม่ก็หันไปขายก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ไปเป็นหัวหน้าคนงานดูแลสวนส้มรังสิตของมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง จากนั้นก็ออกมาเช่าที่ดินทำไร่ส้มด้วยตนเองจนกระทั่งได้กำไรมีที่ดินเป็นของตนเองไว้เป็นสมบัติให้ลูกหลาน จะได้ไม่ต้องไปเช่าที่เขาอยู่จนสามารถสร้างหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงหวังให้ลูกๆ ขยันทำมาหากิน แต่เมื่อมีลูก จู่ๆ ลูกก็ออกไปบวชถึงสองคน ในความคิดของพ่อจึงมองว่าพ่ออุตส่าห์หนีความยากจนมาอยู่เมืองไทย เหตุไฉนลูกจึงไม่บากบั่นเหมือนพ่อ เหตุไฉนลูกจึงสิ้นไร้ไม้ตอกต้องไปบวชอยู่วัดขอเขากินไม่ขยันทำมาหากิน นั่นเป็นสิ่งที่พ่อไม่สามารถรับได้  ในขณะที่ลูกเห็นว่าครอบครัวมีวิบากกรรมบางอย่างที่คอยสนองผล การมีบุคคลในบ้านออกบวชน่าจะช่วยลดทอนวิบากกรรมนั้นได้บ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องยากที่พ่อจะเข้าใจ

โยมพ่อกับโยมแม่และลูกสองคนแรก เด็กชายที่ยืนคือพี่ชายคนโต ส่วนโยมแม่กำลังอุ้มลูกสาวคนที่สอง หลังจากภาพนี้ผ่านไปหลายปียังมีน้องๆ คลานตามมาอีก ๘ คน ผู้เขียนเป็นคนเล็กสุด โยมแม่ยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันอายุ ๘๕ ปี


          เมื่อมุมมองชีวิตของเราเป็นไปคนละแนวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เราจะเข้าใจกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนพ่อลูกเปรียบเหมือนกับ รางรถไฟอันเป็นเส้นขนานที่ยากจะมาบรรจบกัน เมื่อเราไปบ้านเราเห็นหน้ากันเราไม่เคยพูดจาปราศรัยกันเลยจนแทบจะนับได้ว่าในปีหนึ่งๆ เราคุยกันกี่ครั้ง หลังจากบวชบางช่วงผู้เขียนก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นปีๆ เพราะเราพูดกันคนละภาษา ความสัมพันธ์ของเราเหมือนกับรางรถไฟจริงๆ

          แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อวันเวลาผ่านไปโยมพ่อชราภาพมากขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน เริ่มจากโรคถุงลมโป่งพองอันเนื่องมาจากบุหรี่ที่พ่อสูบมาตั้งแต่วัยรุ่นจนทำให้พ่อตัดสินใจเลิกบุหรี่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ตามด้วยโรคต่อมลูกหมากโตพร้อมด้วยโรคนอนไม่หลับและมีอาการชาที่ช่วงขา บางครั้งก็เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

          นี่จึงเป็นเหตุให้พ่อกับลูกมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น เราพยายามกลับบ้านให้บ่อยเพื่อเยี่ยมพ่อถามถึงสารทุกข์สุขดิบของพ่อ พ่อก็มีโอกาสถามถึงสารทุกข์สุขดิบของลูก วันหนึ่งเราเห็นพ่อต้องกินยานอนหลับทุกวันจึงถามถึงอาการนอนไม่หลับของพ่อ เพราะยาไม่ใช่อาหารหากไม่จำเป็นเราไม่ควรกินยาบ่อยๆ แต่ด้วยอาการนอนไม่หลับพ่อจึงต้องพึ่งยานอนหลับทุกวัน

          วันนั้นเราถามพ่อว่าเป็นอะไรทำไมนอนไม่หลับ คำตอบของพ่อทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจเมื่อพ่อตอบว่าเหตุที่พ่อนอนไม่หลับเพราะตั้งแต่อาเฮีย (พี่ชายคนโตของผู้เขียน) เสียชีวิต ก็ไม่มีใครขับรถออกไปช่วยขายปุ๋ยเลย (การขายปุ๋ยของพ่อในช่วงเวลานั้นเป็นรายได้หลักเข้าบ้านทางหนึ่ง) แม้ลูกคนอื่นจะช่วยขับรถแทนให้แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพี่ชายคนโต เมื่อขาด มือขวา ที่สำคัญของการทำมาหากินพ่อจึงนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงครอบครัวกลัวว่าครอบครัวจะลำบากและยังมีหนี้สินพะรุงพะรัง พ่อจึงเริ่มคิดมากและนอนไม่หลับมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นเวลา ๙ ปีแล้วที่พ่อต้องพึ่งยานอนหลับ

          สิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังทำให้เรามองเห็นความรักความห่วงใยของพ่อที่มีต่อครอบครัว เพราะความรักความห่วงใยทำให้พ่อกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ วันไหนไม่ได้กินยาก็จะนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับเป็นสิ่งที่ทรมานแต่พ่อก็ต้องอดทนไปกับมัน

          การที่บทบาทของพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวถูกกำหนดให้ต้องออกไปทำหน้าที่หาเงินนอกบ้าน ทำให้เป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะสามารถมองเห็นความรักของพ่อที่มีต่อครอบครัวได้

          ๕ ปีสุดท้ายก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นเป็นลำดับ เราพยายามหาเวลาไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้น พยายามหาเรื่องชวนคุย เราได้เห็นสังขารของพ่อที่ร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว จากคนที่เคยแข็งแรงเป็นหัวหน้าครอบครัวเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว กลายเป็นคนแก่วัยชราผมขาวจนบางครั้งแทบไม่มีเรี่ยวแรงเดินแม้แต่จะไปห้องน้ำก็ต้องคอยพยุง ผู้เขียนเริ่มรู้แล้วว่าเวลาที่เราใกล้ชิดกันเริ่มเหลือน้อยลง มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญจริงๆ เมื่อความสัมพันธ์ของเราพัฒนามาถึงขีดสุดเมื่อวันหนึ่งพ่อถามว่า พระฉันข้าวหรือยัง ในชีวิตพ่อไม่เคยทักทายผู้เขียนเลยว่าฉันข้าวหรือยัง คำถามนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งว่าพ่อยอมรับการใช้ชีวิตเป็นนักบวชของลูกแล้ว

ในที่สุดผู้เขียนจึงมีโอกาสสอนท่านให้รู้จักการเจริญสติในลมหายใจเข้าออกด้วยการภาวนาพุทโธ แต่คนแก่ในวัย ๘๕ ปีจะเข้าใจการกำหนดลมหายใจได้มากมายอะไร อย่างมากก็ทำได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว แม้แต่การจะสอนในช่วงเวลาที่ท่านยังเป็นหนุ่มก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะโยมพ่อไม่ได้ศรัทธาชีวิตนักบวชของลูกมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นเรื่องยากที่ท่านจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดีที่สุด

แท้จริงแล้วการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุดคือการนำพาท่านให้เกิดศรัทธาและปัญญาในพระศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนำพาท่านให้เข้าใจใน ไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา การเลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ดี แต่จะดีเลิศหากเราสามารถนำพาท่านให้รู้จักการปฏิบัติภาวนาทำใจให้สงบและปล่อยวาง นี่ถือเป็นการตอบแทนท่านทางจิตวิญญาณทีเดียวเพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้พัฒนาจิตใจตนเอง แม้ละสังขารไปแล้วหากยังไม่ไปนิพพานอย่างน้อยจิตย่อมไปสู่สุคติ

ผู้เขียนไม่เสียใจที่ไม่สามารถสอนโยมพ่อให้รู้จักการภาวนาได้อย่างที่คาดหวังเพราะเข้าใจในเหตุปัจจัยดี แต่อย่างน้อยเราสามารถทำให้ท่านยอมรับการบวชพระของเราได้นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จะเป็นเรื่องน่าเสียดายขนาดไหนหากเราไม่ได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกันเพื่อเรียนรู้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีถึงขั้นนี้ ต้องบอกว่าเป็นการ เลือกใช้โอกาส ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ามากกว่า

ถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากบอกว่าเรามีเวลาเหลือน้อยแล้วสำหรับการดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ คุณผู้อ่านมีพ่อแม่ที่ทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่ หากมีก็ควรใช้โอกาสที่เหลือใกล้ชิดกับท่านให้มากที่สุดก่อนที่เวลาของคุณกับท่านจะหมดลงและไม่ควรพูดว่าไม่มีเวลา อย่างน้อยควรหาเวลาไปเยี่ยมท่านบ้างเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องมาตัดพ้อในภายหลังว่า รู้อย่างนี้ฉันมาเยี่ยมมาดูแลท่านบ้างก็ดี

สำหรับผู้เขียนเลือกใช้โอกาสสุดท้ายด้วยการกลับบ้านให้บ่อยที่สุด บางครั้งก็นอนในห้องเดียวกับพ่อและยังรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดท่านในช่วงเวลาสุดท้าย นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราได้ปฏิบัติท่านก่อนที่จะสูญเสียท่านไปในที่สุด..คนเรามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเราไม่อาจเรียกโอกาสนั้นให้กลับคืนมาได้อีก.

                                                  นอนหลับอย่างสงบนิรันดร์

** เรียบเรียงจากปาฐกถาธรรมก่อนฌาปนกิจศพโยมพ่อของผู้เขียน นายซูเหมียง แซ่อึ๊ง วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  ณ วัดเขียนเขต  ปทุมธานี

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วจีทุจริต ใน Innocence of Muslims




วจีทุจริต ใน Innocence of Muslims                                     
พระชาย วรธัมโม
                                                          คมชัดลึก  7  พฤศจิกายน  2555



อิสลามแปลว่า สันติ

ปรากฏการณ์ต่อต้านหนัง Innocence of Muslims อย่างรุนแรงได้กระจัดกระจายไปยังประเทศมุสลิมหลายประเทศ สถานทูตสหรัฐในประเทศมุสลิมกลายเป็นเป้าหมายของการชุมนุมและก่อความไม่สงบ ที่อียิปต์มีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ ๒๐๐ คน อินเดียผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บ ๒๕ คน ลิเบียมีผู้เสียชีวิต ๑๔ คน หนึ่งในนั้นคือเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำลิเบีย เยเมนมีผู้เสียชีวิต ๔ คน ตูนิเซียมีผู้เสียชีวิต ๔ คน อินโดนีเซียมีผู้บาดเจ็บ ๗ คน ที่ประเทศไทยมีการชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาเช่นกัน ทั้งหมดนี้ได้ตอกย้ำอคติและความเข้าใจผิดซ้ำๆ ให้กับชาวมุสลิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องการใช้ความรุนแรง  

คงไม่ดีแน่หากมีใครมาพูดกับเราว่า ศาสนาของคุณเป็นพวกนิยมความรุนแรง” 

ฉันใด ... ชาวมุสลิมก็ฉันนั้น คงไม่มีชาวมุสลิมคนไหนรู้สึกดีหากมีใครมาพูดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของความรุนแรง’ 

ถ้าเราเข้าใจว่าชาวมุสลิมชอบใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบ นั่นหมายความว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของชาวมุสลิมที่ปรากฏผ่านสื่อ  

ทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมีชาวมุสลิมจำนวนไม่น้อยรักความสงบ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการโต้ตอบด้วยความรุนแรงของชาวมุสลิมที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ของโลก แม้จะเป็นชาวมุสลิมเหมือนกันแต่ด้วยมุมมองและโลกทัศน์ที่แตกต่างกันจึงทำให้ชาวมุสลิมมีวิธีคิดที่หลากหลาย ไม่ได้หมายความว่าชาวมุสลิมจะนิยมชมชอบการโต้ตอบด้วยความรุนแรงเหมือนกันหมดทุกคน

นั่นเพราะ อิสลาม แปลว่า  สันติ



เบื้องหลังเบื้องลึกของหนัง Innocence of Muslims

ภาพยนตร์เกรดต่ำอย่าง Innocence of Muslims ยังคงหาชมได้ในเว็ป YouTube ทั้งๆ ที่เป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลบหลู่ศาสดามูฮัมหมัดโดยเฉพาะ แท้จริงแล้วควรมีการลบหนังเรื่องนี้ออกไปจากเว็ปเพราะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในประเทศมุสลิมหลายประเทศ ทั้งนี้อาจไม่ใช่เพราะอเมริกาสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกเท่านั้นแต่เพราะต้องการแหย่รังแตนเพื่อระเบิดความเกลียดชังมากกว่า

            หนังเรื่องนี้ถูกอ้างว่าใช้ทุนสร้างถึง ๕ ล้านเหรียญสหรัฐ เนื้อหาของหนังหยาบคายเมื่อศาสดามูฮัมหมัดกลายเป็นเสือผู้หญิง นักแสดงนำในภาพยนตร์ต่างออกมาเผยว่าตนถูกหลอกเพราะขณะว่าจ้างถ่ายทำพวกเขาถูกบอกว่ามันเป็นหนังผจญภัยย้อนยุคที่เกี่ยวกับอียิปต์เมื่อ ๒ พันปีก่อน และไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับศาสนาหรือไม่เกี่ยวแม้แต่ศาสดามูฮัมหมัด มีเพียงตัวละครมิสเตอร์จอร์จซึ่งเมื่อหนังออกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตมิสเตอร์จอร์จได้กลายเป็นศาสดามูฮัมหมัดด้วยการพากษ์เสียงทับเข้าไปเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นไปในแบบที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ หนำซ้ำชื่อเรื่องก็ถูกเปลี่ยนจาก Dessert Warriors เป็น Innocence of Muslims หมายความว่าการหลอกลวงนักแสดงอาจถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

            นักแสดงหลายคนต่างออกมาแสดงความเสียใจที่ต้องกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระดับประเทศ บางคนรู้สึกตกใจและโกรธจนถึงกับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าหนังที่ตนแสดงถูกบิดเบือนเนื้อหาและถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือให้เกิดความขัดแย้งโดยที่ตนเองไม่รู้เรื่องมาก่อน นักแสดงบางคนทำเรื่องฟ้องศาลลอสแองเจลิสเพื่อเอาผิดกับ แซม บาไซล์ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ฐานละเมิดความเป็นส่วนตัว หลอกลวง ทำลายชื่อเสียงและจงใจวางแผนให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ในขณะที่แซม บาไซล์กลายเป็นชื่อปลอมของนาย นาคูลา เบสลีย์ นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ผู้มีเบื้องหลังอันคลุมเครือและไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด กระแสข่าวรายงานว่าเขาใช้เงินเพียง ๖ หมื่นเหรียญสหรัฐในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่ ๕ ล้านเหรียญอย่างที่มีการกล่าวอ้าง รวมทั้งผู้กำกับ อลัน โรเบิร์ตก็อาจเป็นนามแฝงเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์บ่อนทำลายศาสนา

           
Innocence of Muslims กับวจีทุจริต ๔ ประการ

                เสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech) หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) เป็นเสรีภาพในการสื่อสารความคิดเห็นของบุคคลผ่านการพูดหรือการแสดงออก รวมถึงพฤติการณ์ใดๆ ในการนำเสนอความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะโดยไม่จำกัดสื่อที่ใช้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการแสดงความคิดเห็นมาก มากเสียจนบางครั้งก็ดูเหมือนจะขาดการควบคุมความพอเหมาะพอดีเหมือนกรณีหนัง Innocence of Muslims
 
อย่างไรก็ตามเสรีภาพในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นจะถูกต้องเหมาะสมแค่ไหน เป็นการละเมิดสิทธิ์หรือไม่ เราสามารถตรวจสอบได้โดยใช้วิจีทุจริต ๔ เป็นเครื่องชี้วัด คือ 

๑) เป็นการพูดเท็จหรือไม่ ๒) เป็นการพูดส่อเสียดให้คนทะเลาะกันหรือไม่ ๓) เป็นการกล่าวคำหยาบคายหรือไม่ และ ๔) เป็นการพูดเพ้อเจ้อหรือไม่

การที่พุทธศาสนาเสนอขอบเขตการสื่อสารไว้ ๔ ประการก็เพื่อให้ผู้พูดและผู้ฟังได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสื่อสาร ไม่เกิดความขัดแย้ง หากใครสามารถหลีกเลี่ยงวจีทุจริตทั้ง ๔ ประการนี้ได้ก็ถือว่าการสื่อสารนั้นเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ซึ่งแท้จริงแล้วศีลข้อมุสาวาทหรือศีลข้อ ๔ พุทธศาสนาไม่ได้เน้นย้ำให้เราหลีกเลี่ยงการพูดเท็จเท่านั้น แต่พุทธศาสนายังสนับสนุนให้เราหลีกเลี่ยงวจีทุจริตอีก ๓ ข้อที่เหลือด้วยเมื่อนั้นศีลข้อมุสาวาทของเราจึงจะบริสุทธิ์ หากเราพูดคำสัตย์แต่เรายังพูดคำหยาบ เรายังพูดส่อเสียด เรายังพูดเพ้อเจ้อ การพูดนั้นก็ถือว่ายังไม่บริสุทธิ์โดยประการทั้งปวง

กรณีภาพยนตร์ Innocence of Muslims เราพบว่าหนังเรื่องนี้เข้าข่ายวจีทุจริตครบทั้ง ๔ ประการเลยทีเดียว กล่าวคือ เป็นเรื่องโกหกที่ถูกแต่งขึ้น มีเนื้อหาส่อเสียดให้ชาวมุสลิมรู้สึกโกรธเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ มีเนื้อหาหยาบคายเมื่อศาสดามูฮัมหมัดกลายเป็นเสือผู้หญิง และเป็นหนังที่มีเนื้อหาเพ้อเจ้อไร้สาระ
 

ไม่ควรนำรูปศาสดามาล้อเล่น

                ถ้าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อก่อให้เกิดสติปัญญาแล้ว เราไม่ควรนำรูปเคารพหรือเรื่องราวของศาสดาของศาสนาอื่นมาล้อเล่นหรือทำลาย เพราะการกระทำเช่นนั้นถือว่าไม่ให้ความเคารพในความเชื่อที่แตกต่างของเพื่อนศาสนิกชนอื่นๆ 

            ผู้นำอิสลามในอินโดนีเซียออกมาประกาศกับประชาชนของเขาว่าอย่าโกรธแค้นกับหนังเรื่องนี้จนเกินไปนัก ในสถานการณ์ที่ลุกเป็นไฟเช่นนี้ความอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ที่ผ่านมาชาวพุทธเองก็ใช้ขันติธรรมไม่น้อยเมื่อเราต้องทนเห็นพระพุทธรูปบามิยันมีอายุเป็นพันปีถูกระเบิดทำลายจนไม่เหลือความงดงามหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เราต้องอดทนอดกลั้นเมื่อเราเห็นพระพุทธรูปกลายเป็นเครื่องประดับฉากในหนังหลายเรื่องของฮอลลิวู้ด เราต้องอดทนอดกลั้นเมื่อเราพบภาพพระพุทธรูปถูกสกรีนลงบนรองเท้าหรือสเก็ตบอร์ด หรือการตกแต่งพระพุทธรูปให้ดูตลกขบขันเป็นรูปแมคโดนัลด์ 

            แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าแม้ความรักในศาสดาก็ต้องมีสายกลาง ไม่โกรธแค้นหรือไม่ปล่อยวางจนเกินไป มีเมตตากับตนเองและคนอื่นๆ หากมีใครทำไม่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสดาและรูปเคารพเราก็ควรออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อพวกเขาจะได้ยุติการกระทำอันไม่สมควรนั้น เพราะถือเป็นการละเมิดศรัทธาของผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจของเพื่อนศาสนิกชนที่แตกต่าง     
                                
และสุดท้าย Freedom of Speech ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของวจีสุจริต คือ พูดคำสัตย์ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ เพื่อทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากเสรีภาพในการพูด.