วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

พระแต่งหญิง ‘นาตาลีร้อยหน้า’ นรก สวรรค์ นิพพาน จะเลือกทางไหน ?



พระชาย วรธัมโม  
 คมชัดลึก 
วันพระ (จันทร์)  28 เมษายน 2557





          หลังสงกรานต์ที่ผ่านมามีข่าวคาว ๆ เกี่ยวกับพระสงฆ์ให้พุทธศาสนิกชนได้ทดสอบสติปัญญากันอีกแล้ว คราวนี้เกิดขึ้นกับสถาบันการศึกษาที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่พอดี แต่จะพูดว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ก็ไม่เชิงนักเพราะเอาเข้าจริง ๆ บุคคลที่เป็นข่าวก็ไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาที่ถูกพาดพิงถึง แต่กลับกลายเป็นเรื่องของบุคคลสองคนขัดแย้งกันเองโดยมีการนำเอาชื่อสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยกลายเป็นข่าวที่ถูกเขียนให้เข้าใจผิดกันไปอย่างขาดความรับผิดชอบไปเสีย

            เรื่องของเรื่องก็คือมีการนำเสนอข่าวว่ามีพระสงฆ์แต่งหญิงออกเที่ยวกลางคืน เธอคนนั้นมีฉายา “นาตาลีร้อยหน้า” ในข่าวรายงานว่าเธอนัดพบชายหนุ่มซึ่งอาจมีสัมพันธ์ทางเพศกัน โดยเนื้อข่าวระบุว่านาตาลีเป็นพระนิสิตในสังกัดมหาวิทยาลัยสงฆ์ชื่อดัง มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็มีเพียงสองแห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) กับมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มวก) พอข่าวแพร่ออกไปคนก็สงสัยกันไปต่าง ๆ นานาว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหนกันแน่ จนในที่สุดข่าวก็ออกมาว่าพระแต่งหญิงเป็นพระนิสิตในสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บอกรายละเอียดว่าเธอศึกษาอยู่ชั้นปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ พักอยู่ในหอพักนิสิต กลางคืนมีรถมารับออกไปเที่ยว ทำไปทำมาก็บอกว่ากำลังจะรับปริญญาเร็ว ๆ นี้ และยังมีการเปิดเผยว่าพระแต่งหญิงท่านนี้สังกัดอยู่ในวัดดังวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ พร้อมกับเปิดเผยชื่อวัดด้วย

            ในทีสุดเรื่องก็ไปพัวพันกับพระครูท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หอพักใน มจร. ผู้เขียนได้สอบถามไปยังพระสุกิจจ์ สุจิณโน นายกองค์กรนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านศึกษาอยู่ในคณะสังคมศาสตร์เช่นกัน ท่านให้ข้อมูลว่า “นาตาลี” ไมได้ศึกษาอยู่คณะสังคมศาสตร์ และไม่ได้เป็นพระนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแต่อย่างใด ความผิดพลาดเกิดจากพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณผู้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จิตอาสาในหอพักนิสิต มจร. ปล่อยข่าวว่านาตาลีเป็นนิสิต มจร. คณะสังคมศาสตร์ ดึก ๆ ก็แต่งหญิงออกไปเที่ยว และกำลังจะรับปริญญา จนทำให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ต่อมาพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณได้เขียนข้อความขอโทษที่หน้าเฟซบุ๊คของตนเองที่ปล่อยข่าวสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นกับสถาบัน พร้อมทั้งขอขมาต่อพระเถรานุเถระทั้งหลาย ท่านสุกิจจ์ได้เล่าว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้พระครูท่านดังกล่าวก็หายไปจาก มจร.ทันที

            เมื่อตามข่าวต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้ทราบว่าเบื้องหลังระหว่างพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณกับพระที่ถูกอ้างว่าแต่งหญิงมีการผิดใจกัน เพราะมีการนำข้อความพูดคุยกันในลักษณะการต่อรองในเรื่องบางอย่างคล้าย ๆ จะเกี่ยวกับเรื่องเพศซึ่งอ้างว่าเป็นของพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณออกมาแฉในข่าว จึงเดาว่าบุคคลทั้งสองน่าจะมีเรื่องผิดใจกัน ต่างฝ่ายจึงนำความลับของกันและกันมาเผยในสื่อ สื่อก็มีหน้าที่ทำเรื่องให้บานปลายออกไป โดยพระครูก็ดึงชื่อสถาบัน มจร. เข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง ๆ ที่นาตาลีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ มจร. อย่างที่กล่าวไปแล้ว  จริง ๆ แล้วบุคคลทั้งสองเมื่อมีความขัดแย้งกันควรหาข้อยุติให้เรียบร้อย ไม่ใช่เอาความผิดของฝ่ายตรงข้ามมาเปิดเผยในสื่อ ซึ่งในที่สุดเรื่องของคนสองคนได้กลายเป็นอาหารอันโอชะของสื่อเสียเอง งานนี้บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ พุทธศาสนิกชน, คนเสพข่าว, สถาบันการศึกษา ส่วนคนที่พร้อมจะรังเกียจตุ๊ดกะเทยอยู่แล้วก็รังเกียจตุ๊ดกะเทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อของการเสพข่าวหมดเลย

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกท่านว่าเวลาที่ท่านกับคู่กรณีมีความขัดแย้งหรือผิดใจกันควรหาทางยุติให้เรียบร้อยแทนที่จะใช้สื่อมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม เพราะในที่สุดสื่อไม่ได้ทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นแต่สื่อได้ย้อนกลับมาทำลายตัวท่านและบุคคลอีกหลายฝ่ายเลยทีเดียว ผู้ที่ได้กำไรจากการนี้เห็นจะเป็นสื่อเท่านั้นที่ได้เร็ทติ้งจากการขายข่าวอันโอชะ

            และหากติดตามข่าวให้ดีก็จะพบว่าข่าวพระแต่งหญิงนี้ยังไม่นิ่ง ล่าสุดมีรายงานว่านาตาลียังเป็นพระ ซึ่งกระแสข่าวก่อนหน้านี้บอกว่าเธอสึกไปแล้ว กว่าบทความนี้จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่เชื่อว่าข่าวยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และยังไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดในรูปการณ์ใด หรือผลสุดท้ายเรื่องนี้จะสรุปออกมาในแนวไหน

ข้อสังเกตประการหนึ่งจากข่าวทำนองนี้ก็คือการนำเสนอข่าวจะมีลักษณะเป็น "ซีรี่ส์" (Series) เป็นตอน ๆ มีความยืดเยื้อน่าติดตามคล้ายละครโทรทัศน์ คนที่ติดตามก็จะเหมือนได้เสพกัญชาคือรู้สึกเมามันมีความสุขไปกับการเสพข่าวและรู้สึกอยากติดตามตอนต่อไปเรื่อย ๆ สื่อจะไม่มาสนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าวคาว ๆ ทำนองนี้ สังคมจะเสียหายอย่างไรสื่อไม่สนใจ เพราะนี่ถือเป็นรายได้อันโอชะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับคนดัง, คนมีชื่อเสียง, คนที่อยู่ในสถาบันต่าง ๆ ราคาข่าวจะยิ่งเพิ่มยอดให้กับคนทำข่าวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาถือว่าช่วยเรื่องเร็ทติ้งได้มาก น่าจะเรียกได้ว่าคนทำข่าวทำนองนี้เป็นหนี้บุญคุณพระศาสนาก็น่าจะได้ เพราะข่าวศาสนาทำให้ท่านมีรายได้เลี้ยงครอบครัวทำให้ท่านมีอยู่มีกิน หากไร้ข่าวด้านลบเกี่ยวกับศาสนาแล้วท่านอาจจะดำเนินชีวิตเลี้ยงครอบครัวด้วยความยากลำบากก็เป็นได้

สำหรับคนที่ติดตามข่าวเมื่อรู้สึกว่าตัวละครในข่าวไม่ได้เป็นคนดีตามที่ตนคาดหวังก็จะรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ ตามด้วยการโพสข้อความด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย แน่นอนว่ายิ่งมีการโพสข้อความวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงก็ยิ่งโหมกระพืออุณหภูมิของข่าวให้ร้อนมากยิ่งขึ้น ยิ่งมีการแชร์ มีการกดไลค์ก็ยิ่งเพิ่มความฮ็อทของข่าวให้เร่าร้อนเป็นทวีคูณ การทำงานสื่อจึงเป็นเรื่องของการแข่งขัน สื่อไม่สนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าว ขอให้มีเร็ทติ้งพุ่งกระฉูดเท่านั้นเป็นพอ

ในฐานะผู้เสพข่าว หลักธรรมเรื่อง “โยนิโสมนสิการ” การคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และหลักธรรมเรื่อง “กาลามสูตร” การคิดพิจารณาอย่างแยบคายก่อนจะเชื่อมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับการเสพข่าวทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และการเสพข่าวสารในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หากเรามีหลักธรรมสองข้อนี้เชื่อว่าเราจะอ่านข่าวทำนองนี้ได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เราจะเห็นกระบวนการทำงานที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของคนทำข่าว ได้เห็นมายาคติในการนำเสนอข่าว ได้เห็นภาวะจิตของคนที่ตกอยู่ในข่าวว่าบางครั้งพวกเขาก็ทำผิดพลาดตกอยู่ใต้อำนาจการครอบงำของ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถหลุดพ้นหรือเอาชนะมารทั้งสามนี้ไปได้  ถ้าพวกเขามีสติปัญญาในการใช้ชีวิตก็คงไม่ตกเป็นเหยื่อในข่าวหรือกลายเป็นผู้เสียชื่อเสียง หรือถ้าพวกเขามีความขัดแย้งกันแต่มีสติปัญญาก็จะสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างถูกต้อง

รวมทั้งได้เห็นภาวะจิตของเราเองว่าเรารู้สึกโกรธและไม่สบายใจเมื่อได้อ่านข่าวทำนองนี้ ในที่สุดเราก็ควรมี “สติ” ตามดูความรู้สึกตัวเองไปด้วย พร้อมกับเพียรระมัดระวังไม่ให้ตกไปอยู่ใต้รากเหง้าของอกุศลมูลที่มีชื่อว่า “โทสะ” และ “โมหะ” เมื่อพิจารณาตนเองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เราจะสามารถเท่าทันกับความรู้สึกของตนเอง เรียนรู้จากผู้ที่ผิดพลาดว่าเราไม่ควรตกอยู่ในภาวะขาดสติเช่นนั้น อ่านข่าวที่ขาดสติแล้วเราก็ไม่ควรกลายเป็นคนขาดสติร่วมไปด้วย จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการนำเสนอข่าวของสื่อที่พยายามเล่นกับกิเลสของเรา หรือไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นความหายนะของคนอื่นจากการทำงานของสื่อ

ในข่าวเพียงหนึ่งข่าวเราอาจจะลงนรก ขึ้นสวรรค์ หรือไปนิพพานก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกทางไหน.