ในทางพุทธศาสนามีการพูดให้ได้ยินอยู่เสมอว่าการเกิดเป็นกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวล
ทอม ดี้ คนข้ามเพศ
หรือเกิดมามีอวัยวะเพศไม่ชัดเจนเป็นผลกรรมจากการผิดศีลข้อ 3 ในอดีตชาติ หมายความว่าบุคคลคนนั้นเคยลักลอบเป็นชู้กับสามีภริยาของคนอื่นในชาติก่อนมาชาตินี้จึงเกิดเป็นกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวล
ทอม ดี้ หรือมีอวัยวะเพศไม่ชัดเจน
ผู้เขียนอยากเชิญชวนคุณผู้อ่านมาร่วมกันวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นว่าแท้จริงแล้วมีอะไรอยู่เบื้องหลังคำสอนเหล่านี้
เราควรตั้งคำถามหรือมีมุมมองอย่างไรต่อคำสอนดังกล่าว เพื่อที่เราจะได้ก้าวข้ามไปสู่การหลุดพ้นต่อแนวคิดเรื่องกรรม
ไม่หลงติดอยู่แค่ส่วนเสี้ยวที่เป็นเปลือกกระพี้ของคำสอนจนทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงแก่นคำสอนทางพุทธศาสนาสักที
ประเด็นที่ 1 เหตุใดคำสอนในศาสนาพุทธต้องทำให้คนที่แตกต่างรู้สึกโดดเดี่ยวหรือด้อยค่าในตัวเอง
เมื่อเรามีสติปัญญาเพียงพอ
เราก็จะเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดพุทธศาสนาจึงมีคำสอนที่ไม่สนับสนุนตัวตนหรือไม่สนับสนุนความรู้สึกของคนที่เกิดมาแตกต่างให้พวกเขารู้สึกดีกับตัวเองบ้างเลย ตรงกันข้ามพุทธศาสนากลับมีคำสอนที่ทำร้ายจิตใจคนที่แตกต่างให้รู้สึกแปลกแยกกับตัวเองทำให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว
ในขณะเดียวกันพุทธศาสนากลับมีคำสอนที่สนับสนุนคนกลุ่มใหญ่ให้รู้สึกปกติกับตัวเอง
ยกตัวอย่าง
พุทธศาสนาไม่ตำหนิความรักต่างเพศระหว่างชายกับหญิง พุทธศาสนามีหลักคำสอนที่สนับสนุนบทบาทชายหญิงในการเป็นคู่ชีวิตให้เอาใจใส่กันดูแลกันและกันในฐานะสามี-ภริยา แต่ถ้าเป็นความรักระหว่างเพศเดียวกันเรากลับพบว่ามีการตีความโดยคณาจารย์ทั้งที่เป็นคฤหัสถ์และพระภิกษุว่ารักเพศเดียวกันเป็นกรรม
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ปรากฏว่าในพระไตรปิฎกส่วนไหนมีการกล่าวอ้างว่ารักเพศเดียวกันเป็นกรรมเลย หรือการเกิดเป็นเพศชาย-เพศหญิงจะไม่ถูกบอกว่าเป็นกรรมมากเท่ากับการเกิดมาเป็นกะเทย
สำหรับกะเทยจะถูกบอกว่าเป็นกรรมทันที ทำไมพุทธจึงต้องจองจำคนที่แตกต่างไว้กับความหมายของคำว่ากรรมเพียงสถานเดียว
แทนที่ศาสนาจะช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของคนที่เกิดมาแตกต่างให้รู้สึกดีมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
ศาสนากลับซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
ประเด็นที่ 2 เมื่อพุทธศาสนาสอนว่าเกิดเป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยน เป็นกรรม
คำสอนนี้ก็จะสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตของคนที่เป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศไปโดยอัตโนมัติ
ทำให้พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นกรรมของพวกเขาจริงๆ ที่เกิดมาไม่เหมือนคนอื่น
โดยที่คนกลุ่มนี้อาจจะต้องประสบพบเจอกับการไม่ยอมรับและเผชิญหน้ากับความรุนแรงตั้งแต่ในบ้าน
ในโรงเรียน ในที่ทำงาน จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการคล้อยตามได้ไม่ยากว่าเกิดเป็นกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวล
คนข้ามเพศเป็นกรรมไปโดยอัตโนมัติ เนื่องจากระบบสังคมไม่มีกฎหมายคุ้มครองความปลอดภัยให้กับคนที่เกิดมาแตกต่าง
คนในสังคมก็ไม่มีการให้เกียรติคนที่แตกต่าง สังคมก็ไม่มีกฎหมายสนับสนุนชีวิตคู่ของเพศเดียวกัน
เมื่อใช้ชีวิตร่วมกันก็ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับคู่รักชายหญิงที่มีกฎหมายคุ้มครอง
ปราศจากการมองให้ลึกซึ้งว่าแท้จริงแล้วการไม่ยอมรับ
การรังเกียจ การกระทำรุนแรงนั่นแหละเป็นกรรมของฝ่ายที่ไม่ยอมรับนั่นเอง มิได้เป็นกรรมของคนที่เกิดมาเป็นเกย์ เลสเบี้ยน กะเทย หรือคนข้ามเพศ
หรือถ้าพูดให้เห็นภาพชัดก็คือเป็นปัญหาในระดับโครงสร้างสังคมที่ไม่ให้สิทธิ
พื้นที่ และโอกาสแก่คนที่เป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวล คนข้ามเพศ ได้เจริญเติบโต
กล่าวคือ ในโรงเรียนไม่มีการพูดสนับสนุนเด็กที่เป็นกะเทย ทอม หรือเด็กที่รักเพศเดียวกันให้เกิดความรู้สึกดีกับตัวเอง
เมื่อโตขึ้นคนที่เป็นกะเทยหรือคนข้ามเพศก็หางานทำลำบากกว่าคนที่มีเพศสภาพเป็นชาย-หญิง
ในสังคมเองก็มีบรรยากาศของการรังเกียจกะเทย ทอม
รังเกียจคนที่มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ในทางกฎหมายก็ไม่มีกฎหมายรองรับชีวิตคู่ของเพศเดียวกัน
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าเป็นปัญหาในระดับโครงสร้างสังคม
เมื่อปัญหาในระดับโครงสร้างสังคมมาพบกับพุทธศาสนาที่พูดเรื่องกรรมของกะเทย เกย์
เลสเบี้ยน ก็ทำให้ผู้คนเข้าใจไปได้ว่าเกิดเป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยน
คนข้ามเพศ เป็นกรรมไปได้ไม่ยาก
ประการที่ 3 ทำไมพุทธศาสนาจึงพยายามทำคนให้เหมือนกัน
แทนที่จะยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
พุทธศาสนาพยายามทำคนให้เหมือนกันผ่านการให้คุณค่าเรื่องกรรม
เมื่อมีการพูดว่ารักเพศเดียวกันเป็นกรรม เกิดเป็นเกย์ เลสเบี้ยน กะเทยเป็นกรรม ก็ทำให้คนไม่อยากเกิดเป็นกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ใครเกิดเป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยนอยู่แล้วก็จะรู้สึกไร้คุณค่า ทำให้เกย์บางคน
กะเทยบางคน เลสเบี้ยนบางคน รู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่ถูกบอกว่าเป็นกรรมจนทำให้พวกเขาบางคนอยากเกิดเป็นเพศชาย-เพศหญิงตามแบบแผนของสังคม
เพราะการเกิดเป็นเพศชายหรือเพศหญิงได้รับการยอมรับและไม่ได้ถูกบอกว่าเป็นกรรมจนอาจมีการอธิษฐานเวลาทำบุญว่าเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้เกิดเป็นชาย-หญิงที่สมบูรณ์
คำถามก็คือทำไมพุทธศาสนาจึงต้องทำคนให้เหมือนกันผ่านการให้คุณค่าเรื่องกรรม
ทั้งๆ ที่ความจริงก็คือเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะรักเพศตรงข้ามเหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้ที่สังคมจะมีแต่เพศชาย-เพศหญิงที่สมบูรณ์
100 เปอร์เซ็นต์เพราะเพศชาย-เพศหญิงที่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่มีจะมีก็แต่ในทฤษฎีเท่านั้นเอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะเหมือนกันหมดทุกคน
ถ้าเรายอมรับว่าในสังสารวัฏแห่งนี้เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย
เราก็น่าจะยอมรับได้ว่ามนุษย์เรามีความแตกต่างหลากหลายในความรักและความเป็นเพศเช่นเดียวกัน
ประการที่ 4
คำสอนเรื่องกรรมทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นวรรณะทางเพศสภาพ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาเพื่อทำลายระบบชนชั้นวรรณะ
ระบบชนชั้นวรรณะทั้ง 4 ประกอบไปด้วย กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร ระบบชนชั้นวรรณะเป็นเหตุให้คนเป็นทุกข์เนื่องจากแต่ละชนชั้นก็จะรังเกียจชนชั้นที่ต่ำกว่า
ชนชั้นต่ำสุดที่ถูกรังเกียจมากที่สุดและมีความทุกข์มากที่สุดคือศูทรและจัณฑาล
พระพุทธเจ้าจึงพยายามลบล้างระบบนี้เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่คนเราจะมาแบ่งแยกกดขี่กันด้วยชนชั้นวรรณะ
ในคำสอนของท่านจึงไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะให้เห็น
แต่จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามเมื่อพุทธศาสนามีการตีความว่าเกิดเป็นกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน เป็นกรรม ก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นวรรณะทางเพศขึ้นมาโดยอัตโนมัติทำให้เกิดการตีตราว่าเกิดเป็นกะเทยมีกรรม
ในขณะที่เพศชายเพศหญิงไม่มีกรรมซึ่งเมื่อเราเข้าไปดูรายละเอียดก็จะพบการแยกย่อยลงไปอีกว่า
เกิดเป็นเพศหญิงมีกรรมมากกว่าเพศชาย ในขณะที่เกิดเป็นเพศชายแทบจะไม่เป็นกรรมอะไรเลย
เพราะการเกิดเป็นเพศชายได้รับสิทธิต่าง ๆ ทางศาสนาและสังคม เช่น ได้บวชเป็นพระ
ได้เป็นผู้นำของชุมชน ในขณะที่ผู้หญิงกับกะเทยถูกบอกว่าห้ามบวช
หรือหากจะได้บวชก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเพศชายพอบวชแล้วก็ไม่วายถูกสังคมว่ากล่าวเสียดสี หรือเป็นไปได้ยากที่ผู้หญิงกับกะเทยจะมีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ
จึงสรุปได้ว่า
เพศที่อยู่บนสุดคือ เพศชาย ตามด้วย เพศหญิง และตามด้วยกะเทย
เพศชาย >> เพศหญิง >> กะเทย
โดยหลักการทางพุทธศาสนาแล้ว
คนเราไม่ควรถูกแบ่งชนชั้นด้วยความเป็นเพศว่าใครมีคุณค่ามากกว่าใครเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าพยายามลบล้างระบบวรรณะ
แต่ในเมื่อพุทธศาสนามีการสอนเรื่องกรรมกับเพศสภาพ ก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นวรรณะทางเพศสภาพขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
หากพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่
พระพุทธองค์จะตรัสอย่างไรกับการแบ่งชนชั้นวรรณะด้วยเพศสภาพอันเกิดจากคำสอนของครูอาจารย์รุ่นหลัง
?
ประการที่ 5 ความจริงเกี่ยวกับคำสอนเรื่อง “กรรม”ในพระไตรปิฎก
ในพระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้ามิเคยตรัสว่ารักเพศเดียวกันเป็นกรรม
และมิเคยตรัสว่าเกิดเป็นกะเทยเป็นกรรม จะมีก็แต่ในส่วนของการอธิบายความซึ่งถูกเรียบเรียงขึ้นโดยพระเถระรุ่นต่อมา
(เราเรียกส่วนนี้ว่า “อรรถกถา”)หรือไม่ก็อาจารย์ธรรมะพูดขึ้นมาเองด้วยการฟังตามๆ
กันมาหรือเพียงแต่อ่านพระไตรปิฎกแล้วนำมาตีความกันเอง
ในมหานารทกัสสปชาดก (545) พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย เล่ม 28 พระบาลีสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย มหานิบาตชาดก หน้า 296-297 ฉบับสังคายนาในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช
2530 มีบทสนทนาระหว่างพระเจ้าวิเทหราชผู้เป็นบิดากับพระนางรุจาราชธิดาผู้เป็นราชธิดา
ในบทสนทนานั้นพระนางรุจาราชธิดากล่าวกับพระเจ้าวิเทหราชผู้เป็นราชบิดาว่า
“หม่อมฉันระลึกชาติได้ว่าชาติที่ 7 ในอดีต
หม่อมฉันเกิดเป็นบุตรชายนายช่างทองคบเพื่อนผู้เป็นคนพาลแล้วพากันคบชู้กับภรรยาของชายอื่น
ผลกรรมนั้นทำให้ไปตกนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกก็ไปเกิดเป็นลาที่ถูกตอน
จบจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นลิงแล้วถูกหัวหน้าลิงกัดลูกอัณฑะ
จบจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นโคที่ถูกตอน จากนั้นจึงไปเกิดเป็นกะเทยในตระกูลที่ร่ำรวย
การจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากจริง ๆ นั่นคือผลกรรมที่หม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น”
คงเป็นเพราะเนื้อหาของพระไตรปิฎกส่วนนี้กระมังที่กล่าวถึงการผิดศีลข้อ
3 แล้วทำคนให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ กว่าจะมาเกิดเป็นกะเทย จึงทำให้เกิดการตีความแบบเหมารวมไปยังกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ทอม ดี้ ไบเซ็กซ์ช่วล
คนข้ามเพศว่าเป็นกลุ่มคนที่มีกรรมจากการผิดศีลข้อ 3 ในอดีตชาติ ซึ่งโดยสภาพการณ์แล้วถือว่าเป็นวิธีการตีความที่ด่วนสรุปเกินไป
การนำเอาเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งในพระไตรปิฎกมาอ้างอิงแล้วนำมาสรุปว่าคนมีบุคลิกเช่นนี้เป็นเพราะเคยทำกรรมในอดีตชาติอย่างนั้น
จึงเกิดมาเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นการตีความที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำสอนเรื่องกรรมในอดีตชาติเป็นสิ่งที่มิอาจนำมาตัดสินคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบเหมารวมได้อย่างง่ายดาย อดีตชาติเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยญาณอันเกิดจากการปฏิบัติภาวนาจึงจะมองเห็น
คนที่จะพูดเรื่องนี้ได้ควรเป็นผู้ที่ผ่านการภาวนาและเข้าถึงญาณที่เรียกว่า
“ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” คือญาณแห่งการระลึกรู้อดีตชาติจนสามารถมองเห็นและยืนยันได้ว่าผิดศีลข้อ
3 แล้วเกิดเป็นกะเทยจริง ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่ใครสักคนจะสามารถเข้าถึงญาณขั้นนี้แล้วออกมาพิสูจน์
ดังนั้น การจะกล่าวถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบเหมารวมไปเสียทั้งหมดว่าผิดศีลข้อ
3 จึงเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังมิเช่นนั้นจะเป็นการตีตราเพียงเพราะพระไตรปิฎกกล่าวไว้เช่นนั้นโดยปราศจากเค้ามูลความจริง
ประการที่ 6 คำสอนเรื่องกรรมเป็นคำสอนพื้นฐานของพุทธศาสนา
ยังมีคำสอนอื่นๆ ให้เรียนรู้และก้าวข้ามให้สูงขึ้นไป
คำว่า “กรรม”
มี 2 ความหมาย
ความหมายที่หนึ่ง กรรม หมายถึง การกระทำ ซึ่งมีเจตนาเป็นที่ตั้ง
การกระทำที่มีเจตนาย่อมมีผลแรงกว่าการกระทำที่ปราศจากเจตนา
การกระทำด้วยเจตนาจะนำไปสู่กรรมในความหมายที่ 2
ความหมายที่สอง กรรม หมายถึง ผลของการกระทำ
ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วผู้กระทำย่อมได้รับผลของการกระทำนั้นเสมอ ทำดีย่อมได้รับผลเป็นกรรมดี
ทำชั่วย่อมได้รับผลเป็นกรรมชั่ว
คำสอนเรื่องกรรมเป็นคำสอนขั้นพื้นฐานให้คนละชั่วทำดี
ไม่เบียดเบียนคนอื่นจึงต้องมีการสอนเรื่องการกระทำและผลของกรรมให้คนรู้สึกหวาดกลัวต่อการทำชั่ว
แต่ข้อเสียของคำสอนเรื่องกรรมก็คือคนมักยึดติดแต่เรื่องผลกรรมแล้วนำคำสอนเรื่องผลกรรมมาตีตรากัน
ดังนั้นการก้าวข้ามให้สูงไปกว่าการมองเห็นแค่เรื่องผลกรรมก็คือ
“การยอมรับความแตกต่างหลากหลายอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่สนใจว่าใครเคยทำกรรมอะไรมา”
ถือเป็นการเจริญปัญญาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแทนที่จะมองและยึดติดตัวตนกันแต่เรื่องกรรมในอดีตชาติแต่เพียงอย่างเดียวซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จเพียงใด
เป็นเรื่องง่ายที่คนเราจะยึดติดกับคำสอนเรื่องกรรมในอดีตชาติว่าใครไปทำอะไรมาแล้วส่งผลให้ไปเกิดเป็นอะไรโดยลืมนึกไปว่าอดีตชาติเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปยึดติดอยู่กับอดีต ถ้าเรายังคงสอนว่าเกิดเป็นเกย์เลสเบี้ยน
กะเทย คนข้ามเพศเป็นกรรมก็เท่ากับว่าเรากำลังผลักคนกลุ่มนี้ให้เข้าไปยึดติดอยู่กับอดีตซึ่งดูขัดแย้งกับคำสอนทางพุทธศาสนาว่าอย่ายึดติดกับอดีต
ในที่สุดแล้วไม่ใช่ว่าเราผลักพวกเขาให้เข้าไปยึดติดกับอดีตเท่านั้น แม้ตัวผู้สอนก็นำพาตัวเองไปยึดติดอยู่กับอดีตด้วยเช่นกันเพราะตัวผู้สอนก็จะยึดติดอยู่กับคำสอนนี้จนไม่อาจก้าวข้ามไปสู่คำสอนอื่น
ๆ ได้ ผลสุดท้ายคำสอนเรื่องกรรมกับกะเทย เกย์
เลสเบี้ยน ก็ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจศาสนาพุทธได้ดีขึ้นเพราะเรามัวไปยึดติดอยู่กับอดีตจนกลายเป็นอุปาทาน
เราลองมาพิจารณากันดูว่าคำสอนเรื่องกรรมกับกะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศ
และคนรักเพศเดียวกันในแนวอดีตชาตินี้ยังเข้ากันได้กับยุคสมัยอีกหรือไม่
ประการที่ 7 เพศเป็นความว่าง
ปราศจากตัวตนที่จะยึดติดว่าเป็นอะไร
หากเราต้องการจะเข้าใจพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง การละวางตัวตนนั่นแหละคือหนทาง
หากครูบาอาจารย์ทางพุทธศาสนาหันมาสอนเรื่องเพศกันอย่างถึงแก่นว่า
กะเทย เกย์ เลสเบี้ยน คนข้ามเพศ ก็เป็นความว่างเช่นเดียวกับเพศชาย
เพศหญิง
ความเป็นเพศชายเพศหญิงก็ปราศจากตัวตนที่จะมายึดติดว่าเป็นนู่น
เป็นนี่ เป็นนั่น เพราะทุกเพศต่างก็เป็นสมมติบัญญัติด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีเพศใดจริงแท้ มีแต่สิ่งที่ถูกสมมติขึ้นมา แต่ละเพศก็มีความเป็นกลาง
ไม่ได้มีเพศใดสูงส่งไปกว่าเพศใด เพราะในที่สุดทุกเพศก็คือสมมติบัญญัติ
เป็นภาวะของความว่างที่ปราศจากตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่น
หากเราเข้าใจและสอนกันอย่างนี้สืบเนื่องกันไป
เชื่อว่าเราคงมีคนที่เข้าถึงความเป็นพุทธะมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้
ผู้เขียนมองไม่เห็นความจำเป็นอันใดที่กะเทย
เกย์ เลสเบี้ยน ทอม ดี้ ไบเซ็กซ์ชวล
คนข้ามเพศ คนสองเพศหรือคนที่เกิดมามีเพศไม่ชัดเจนจะต้องมารู้สึกว่าตนเองมีกรรมอะไรในอดีต
เพราะนั่นยังไม่ใช่เนื้อหาสาระหรือหนทางที่จะทำให้พวกเขาเข้าถึงแก่นคำสอนทางพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง
หากแต่การสอนให้พวกเขาหันมายอมรับตัวเอง
รักตัวเอง และภาคภูมิใจในตัวเองต่างหากที่จะทำให้พวกเขาเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ง่ายขึ้น.
.