กลายเป็นข่าวที่สร้างความงุนงงทันทีเมื่อ พระเกษม
อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสวัดสามแยก จ.เพชรบูรณ์ ออกมาเปิดเผยกับสื่อด้วยตนเองโดยไม่รอให้ใครเป็นโจทก์ฟ้องร้องขึ้นมาก่อนว่าตนมีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์ชายผู้ใกล้ชิด
หลังจากนั้นไม่กี่วันพระเกษมได้ลาสิกขาด้วยตนเองโดยนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมเป็นอุบาสก
สิ่งที่น่างุนงงคลุมเครือไปกว่านั้นก็คือ อดีตพระเกษม หรือปัจจุบันคือนายเกษม
ดวงแพงมาต ในวัย 54 ปีได้ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายสำนักว่าเขามีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์โดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่ลูกศิษย์ชายผู้ใช้นามแฝงว่า ต่อ ออกมาให้สัมภาษณ์ตรงกันว่าขณะเกิดเหตุพระเกษมมีอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนพระเกษมคนเดิม
พระเกษมมีกำลังแรงมากจนตนเองขัดขืนไม่ไหวถูกร่วมเพศจนสำเร็จกิจ
เกษมเปิดเผยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานหนึ่งปีแล้ว
วันหนึ่งเขารู้สึกเมื่อยจึงให้นายต่อซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปนวดให้ จากนั้นพระเกษมมีอาการชัก
เกร็ง กระตุก ลูกศิษย์คือนายต่อซึ่งกำลังนวดได้เข้าช่วยเหลือแต่กลับกลายเป็นถูกพระเกษมในเวลานั้นกระโดดขึ้นคร่อมจนสำเร็จการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งเกษมรู้ตัวภายหลังเมื่อได้กระทำสำเร็จกิจไปแล้ว
หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์กันในครั้งแรกต่อรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกผิด
ต่อจึงหนีหายไปจากพระเกษมเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร
ต่อจึงไปสอบถามผู้รู้เพื่อขอคำรับรองว่าพระเกษมเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากผู้รู้ท่านนั้นว่าพระเกษมเป็นพระอรหันต์จริง
หลังจากหายไปประมาณ 1 สัปดาห์ต่อทำใจได้และยังเข้าใจว่าพระเกษมในเวลานั้นเป็นพระอรหันต์
ต่อจึงกลับมาปรนนิบัติรับใช้พระเกษมเช่นเดิม แต่ในที่สุดการกลับมารับใช้พระเกษมก็ทำให้เขามีสัมพันธ์ทางเพศกับพระเกษมอีกประมาณสิบกว่าครั้งในรูปแบบเดิมคือถูกพระเกษมมีอาการไม่ปกติขึ้นคร่อมจนสำเร็จทำให้เขารู้สึกผิดบาปไปด้วยแม้จะไม่ได้มีเจตนาร่วม
ต่อจึงขอให้พระเกษมเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสาธารณะเพราะเขากลัวบาป
ในที่สุดพระเกษมจึงออกมาเปิดเผยกับสาธารณะว่าตนเองมีสัมพันธ์ทางเพศกับลูกศิษย์จริงแต่กระทำไปโดยขาดสติไม่รู้สึกตัว แล้วอ้างข้อยกเว้นในวินัยบัญญัติว่าหากภิกษุกระทำไปโดยไม่รู้สึกตัวย่อมไม่เป็นอาบัติมาตั้งเป็นประเด็น
นั่นจึงสร้างความงุนงงสงสัยให้กับสาธารณะยิ่งขึ้นว่าเป็นไปได้หรือที่คนเรามีเพศสัมพันธ์แล้วไม่รู้สึกตัว
เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ทางหน้าหนังสือพิมพ์กระแสของสังคมเริ่มตั้งคำถามอย่างหนัก
พระเกษมจึงทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าครั้งแรก ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นตนไม่รู้ตัวจริง ๆ
แต่เมื่อผ่านไปหลายครั้งเข้าเริ่มรู้ตัวมากขึ้น แต่เนื่องจากที่ผ่านมาตนยังสามารถเข้าฌานทำสมาธิได้ตามปกติจึงคิดว่าตนมิได้ทำผิดอะไรเพราะหากตนเองทำผิดจริงผลของฌานสมาบัติก็ต้องเสื่อมไปด้วยแต่ตนเองก็ยังสามารถเข้าฌานทำสมาธิได้
ล่าสุดเมื่อทบทวนจนชัดเจนอีกครั้งจึงพบว่าตนเองได้กระทำผิดจริง
เพราะครั้งหลัง ๆ เขาสารภาพว่ารู้ตัวตลอดการกระทำ และพลังจิตของตนที่เคยมีก็พลันหายไปหมดสิ้นไม่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้เหมือนก่อน
มีแต่ความตื่นกลัวอย่างแรงว่าตนเองคือคนธรรมดามิใช่พระอรหันต์ และการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็เป็นเรื่องที่ตนเข้าใจผิดไปเองทั้งหมดตั้งแต่แรก
ในเมื่อกระจ่างแล้วว่าตนมิได้เป็นพระอรหันต์และสิ่งที่ได้กระทำลงไปเป็นความผิดพลาดตนจึงเรียกประชุมสงฆ์และญาติโยมภายในวัดเพื่อประกาศทำการลาสิกขาต่อหน้าคณะสงฆ์และญาติโยมภายในวัดกลางดึกคืนนั้นเอง
ซึ่งการตัดสินใจเรียกประชุมเพื่อลาสิกขาเป็นการตัดสินใจของพระเกษมเอง
ทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากที่ผู้เขียนได้ดูคลิปย้อนหลังที่อดีตพระเกษมออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายรายการ
มีหลายประเด็นที่ควรนำมาวิเคราะห์กันต่อว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากกรณีของพระเกษมที่เกิดขึ้นบ้าง
............................................
· ***
ประเด็นแรกเป็นเรื่องที่ควรนับถือน้ำใจของชายชื่อเกษมที่ออกมายอมรับในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป
และยอมเปิดเผยผ่านรายการทีวีหลายรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยอันเป็นการให้สัมภาษณ์ท่ามกลางลูกศิษย์และต่อหน้าคู่กรณีพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้บันทึกภาพออกอากาศไปทั่วประเทศเพื่อพูดความจริงออกมา การออกมาเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับคนๆ
หนึ่งที่ทำผิดพลาดในเรื่องเพศแล้วต้องออกมายอมรับกับสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุคคลนั้นเป็นพระภิกษุซึ่งเป็นสถานะที่ผู้คนจำนวนมากให้ความเคารพนับถือและยังเป็นครูบาอาจารย์สอนธรรมะที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
ในเมื่อต้องเปิดเผยกับสื่อที่จะกระจายเรื่องราวไปให้คนทั้งประเทศรับรู้
นั่นเท่ากับชีวิตทั้งชีวิตรวมทั้งชื่อเสียงที่สร้างมาได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปในทันที
สิ่งที่พระเกษมทำจึงเท่ากับเป็นการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวและเผชิญหน้ากับจุดตกต่ำของชีวิต
ของลูกศิษย์ และของวัดที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบมิได้
· ***
เมื่อชมคลิปสัมภาษณ์ (รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย) เราได้เห็นความในใจของเกษมว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
เขารู้สึกกลัวคนรอบข้างรังเกียจในความจริงที่เขาเปิดเผยออกไป
กลัวคนที่วัดจะรังเกียจ กลัวคนทั้งประเทศรังเกียจ มันเป็นฝันร้ายเมื่อเขาต้องเผชิญกับความจริงเช่นนั้น
เขาสารภาพซ้ำ ๆ กับทุกสื่อว่ารู้สึกอับอายมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกอายเหมือนขวานสับหน้า
อายเหมือนหอกทิ่มหน้า อายเหมือนเอาปืนมายิงหน้าผากแต่เขาก็ต้องเผชิญกับความจริง
·
*** ไม่แต่เกษมเท่านั้นที่รู้สึกอับอาย ต่อซึ่งเป็นคู่กรณีก็รู้สึกอับอายเช่นกันแม้เขาจะเป็นฝ่ายถูกร่วมเพศไม่ได้มีเจตนาที่จะมีเซ็กซ์ ต่อเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดที่อดีตพระเกษมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กจนกระทั่งบัดนี้ต่ออายุ
30 กว่าปี ต่อมีลูกมีเมียแล้ว ต่อไม่เห็นทางออกว่าจะมีวิธีใดดีไปกว่าการไถ่โทษตนเองด้วยการออกมาเปิดเผยกับสาธารณะให้กระจ่างในที่สุด
· ***
ยิ่งฟังบทสัมภาษณ์ก็ยิ่งรู้สึกสลดใจเมื่อต่อเปิดใจว่าเขาเองรู้สึกถลำลึกไปสู่ความผิดบาปกับสิ่งที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการมีสัมพันธ์ทางเพศกับพระสงฆ์และพระสงฆ์รูปนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของคนจำนวนมาก
เขาพูดว่านึกถึงภาพเก่า ๆ แล้วเศร้า (รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย) แต่ตนก็ยังคงเคารพครูบาอาจารย์ท่านนี้
และมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนคงเป็นกรรมเก่าโดยไม่กล่าวหาครูอาจารย์
· ***
ฝ่ายอาจารย์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เกษมนอกจากจะรู้สึกอับอายที่ต้องเอาเรื่องเพศมาเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้แล้ว
เกษมยิ่งรู้สึกแย่ลงไปเมื่อรู้ว่าฝ่ายลูกศิษย์ที่ตนมีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้นรู้สึกผิดบาป ถ้าคนที่เป็นครูอาจารย์รับรู้ว่าตนได้ทำให้ลูกศิษย์รู้สึกผิดบาป
คนที่เป็นครูอาจารย์นั่นเองยิ่งจะรู้สึกผิดบาปลงไปด้วยเพราะโดยวิสัยของผู้ที่เป็นครูอาจารย์สอนธรรมะนั้นต้องการให้ลูกศิษย์ไปทางสวรรค์
ไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ไปนรก เพราะอาจารย์รู้ดีว่าการต้องไปนรกนั้นเลวร้ายเพียงใด เมื่อเกษมได้รับรู้ถึงความรู้สึกตกนรกของลูกศิษย์เขาจึงรู้สึกแย่ลงไปด้วย
· ***
ในทางพุทธศาสนามีคำว่า วิปฏิสาร แปลว่าความร้อนใจ ความเดือดร้อนใจ
เช่น ผู้ประพฤติผิดศีลเกิดความเดือดร้อนขึ้นในใจ เพราะความไม่บริสุทธิ์ของตน
เรียกว่า วิปฏิสาร
วิปฏิสารนี้
เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้วไม่ต่างอะไรกับภาวะของคนตกอยู่ในนรกแม้จะยังมีลมหายใจ
เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่สิ่งดีเลยเพราะมันบั่นทอนจิตใจของคน ๆ นั้นให้เศร้าหมอง
จากที่เคยสดใสร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองซึมเศร้า
ไม่มีชีวิตชีวาราวกับวิญญาณของเขาได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงเศษซากของร่างกายที่เคลื่อนไหวได้
· *** โดยปกติการมีเพศสัมพันธ์ของคนสองคน
หากอยู่ในวัยที่รับผิดชอบตนเองได้และเป็นการยินยอมพร้อมใจกันของคนสองคน
ไม่ได้เกิดจากการบังคับขืนใจก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ใจตามมา
แต่เนื่องจากนี่เป็นเพศสัมพันธ์ของบุคคลที่เป็นนักบวชกับฆราวาส
จึงกลับกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องตกอยู่ในความทุกข์ใจรู้สึกผิดบาปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
และเป็นเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองไม่สามารถควบคุมได้
เขาทั้งสองรู้สึกอับอายเมื่อต้องเผชิญกับทางออกคือการต้องออกมาเปิดเผยเรื่องราวกับสาธารณะ สิ่งที่เสียหายคือวัดและคณะญาติโยมที่ศรัทธา
พวกเขานึกไม่ออกว่าต่อไปวัดจะเป็นอย่างไรญาติโยมจะเป็นอย่างไร
*** ความอับอายที่เกิดขึ้นในใจของคู่กรณีระหว่างเกษมกับต่อ ไม่แตกต่างจากความทุกข์ใจของเด็กวัยรุ่นวัยเรียนที่พบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปิดเผยตนเองกับพ่อแม่
แม้ดูผิวเผินว่าไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่แต่ก็มีส่วนเหมือนกันในเรื่องของสภาพจิต
เด็กต้องรู้สึกอับอายอย่างไรทั้งเกษมและต่อก็รู้สึกอับอายในลักษณะเดียวกัน ถึงแม้เด็กจะไม่ตัดสินใจบอกพ่อแม่แต่เด็กก็ต้องรู้สึกกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดีว่าจะแก้ไขอย่างไรเพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่
นี่เรียกว่าเป็นวิปฏิสารก็ไม่ผิดเพราะเป็นความกังวลใจที่เผารน
*** บางท่านอาจจะบอกว่าไม่เหมือนกัน นี่เป็นผู้ใหญ่ทำผิดเขาไม่จำเป็นต้องอับอายอะไรแต่นั่นเป็นเด็ก
แต่ความจริงก็คือไม่ว่าจะเป็นเด็กทำผิดหรือผู้ใหญ่ทำผิด ทุกคนก็มีความรู้สึกอับอายเท่าๆ
กันเพราะทุกคนยังเป็นมนุษย์ แม้เราจะเห็นว่าเกษมมีอาการสงบนิ่ง
แต่ก็จะสังเกตได้ถึงการจิบชาบ่อย ๆ (รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย) อันเป็นภาษากายแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีหรือรู้สึกปลอดภัยกับสถานการณ์ตรงนี้แต่เขาจำเป็นต้องเผชิญกับมันและผ่านมันไปให้ได้หรือเราจะสังเกตได้ถึงแววตาที่ซึมเศร้า
แต่ด้วยความที่เกษมเป็นบุคคลที่ปฏิบัติธรรมมานานมีบุคลิกมั่นคง
เกษมจึงมีเพียงบุคลิกของความสงบนิ่ง ไม่พูดจากโผงผางมึงมาพาโวยเหมือนก่อนนี้ที่มักจะเป็นพระที่ชอบพูดจาท้าตีท้าต่อย
· *** “พื้นที่ปลอดภัย”
มีความจำเป็นมากทีเดียวที่สังคมควรมีให้กับเขา/เธอที่ทำความผิดพลาดได้เปิดเผยความจริงออกมา
คนที่ผิดพลาดทุกคนล้วนกลัวการถูกตัดสิน กลัวการถูกรังเกียจ
กลัวการถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บความจริงเอาไว้ ดังนั้น
หากใครสักคนทำผิดพลาดแล้วต้องสารภาพความจริงเราควรมี “พื้นที่ปลอดภัย”
ไว้ให้เขาหรือเธอได้พูดความในใจออกมา
“พื้นที่ปลอดภัย” หมายถึงพื้นที่หรือบรรยากาศที่เขา/เธอ
ได้เปิดเผยเรื่องราวแล้วไม่ถูกซ้ำเติมให้แย่ลงไป ไม่ถูกรังเกียจ ไม่ถูกปฏิเสธ
ลำพังความรู้สึกอับอายผิดบาปที่เกิดขึ้นภายในใจนั้นถือเป็นบทลงโทษที่สาหัสอยู่แล้ว การถูกตัดสิน ถูกซ้ำเติม
ถูกรังเกียจจากคนรอบข้างจึงเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายที่เขาหรือเธอต้องเผชิญ
“พื้นที่ปลอดภัย” มีความสำคัญสำหรับทุก
ๆ คนเพราะลำพังเขา/เธอผู้กระทำผิดพลาดต่างก็รู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว
ยิ่งเมื่อพูดออกไปแล้วต้องถูกตีตรา ถูกตราหน้า ถูกรังเกียจ
นั่นยิ่งเท่ากับเป็นความเจ็บปวดที่ถาโถมซ้ำเติมเข้ามา สำหรับบางคนถ้ารู้สึกผิดมาก
ๆ ก็ไม่สามารถทนทานมีชีวิตอยู่ได้จนต้องกระทำการอัตวินิบาตกรรมตนเองซึ่งอันนี้ถือเป็นเรื่องเศร้ามาก
ๆหากเกิดขึ้นกับใคร มันเป็นเรื่องเศร้าที่เรามักเห็นการฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถทนความผิดบาปได้ซึ่งมีให้เห็นบ่อย
ๆ ในข่าวประจำวัน
เมื่อไรก็ตามที่ต้องมีการเปิดเผยความจริงที่อ่อนไหว
เราทุกคนควรมีส่วนร่วมในการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เกิดขึ้นด้วยการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน
รับฟังอย่างเข้าใจ รับฟังอย่างเมตตา
พร้อมจะช่วยเหลือให้ผู้ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์นั้นได้หลุดพ้นจากความทุกข์ใจ
*** สำหรับประเด็นที่เกษมพูดว่าหากกฎหมายบ้านเมืองจะลงโทษพระภิกษุผู้มีเพศสัมพันธ์เขาก็เห็นด้วยนั้น
ผู้เขียนกลับมองว่าไม่จำเป็นต้องมีบทลงโทษเพราะทางประเพณีและวัฒนธรรมได้ลงโทษเขาด้วยการทำให้รู้สึกอับอายนั่นก็เพียงพอแล้ว
อีกทั้งกรณีพระเกษมเป็นเรื่องการกระทำที่เกิดขึ้นโดยเกษมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
และถึงแม้ว่าจะเป็นการยินยอมพร้อมใจกันของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่การร่วมเพศกับผู้เยาว์ การให้สึกจากสมณะเพศถือเป็นการลงโทษที่เพียงพอแล้ว ผู้เขียนจึงมองว่าการลงโทษทางกฎหมายไม่จำเป็นสำหรับพระที่กระทำผิดทางเพศ
นอกเสียจากพระรูปนั้นจะใช้วิธีบังคับขืนใจคู่กรณีซึ่งกรณีนี้ควรจะได้รับการลงโทษจากกฎหมายบ้านเมืองมากกว่า
· *** ทั้งเกษมและต่อต่างก็มีศักดิ์ศรีในตนเอง
แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับความอับอาย ต้องเผชิญกับการถูกตีตรา ถูกตัดสิน
และไม่รู้ว่าหลังจากเปิดเผยไปแล้วชีวิตตนเองจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งคู่ก็พร้อมจะเผชิญกับสถานการณ์ข้างหน้าอันเลวร้ายที่คาดเดาไม่ได้
การออกมาเปิดเผยก็ไม่ได้ขอให้ใครมาเห็นใจเขาทั้งสองต่างยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
· เป็นไปได้หรือที่เกษมบอกว่าตนเองเสพเมถุนโดยไม่รู้ตัว
?
ครั้งแรกที่ผู้เขียนทราบจากสื่อว่าพระเกษมพูดว่าตนเองเสพเมถุนแต่กระทำไปโดยไม่รู้ตัวก็รู้สึกค้านทันทีและสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร
เพราะพระเกษมเป็นฝ่ายกระทำ หรือพระเกษมจะมีอะไรมาให้สังคมประหลาดใจอีก และการเอาเรื่องเสพเมถุนมาออกสื่อเป็นเรื่องที่ไม่ควรมาพูดล้อเล่นเพราะนั่นเท่ากับพระเกษมกำลังเอาสถานะตนเองมาเดิมพัน
ต่อเมื่อพระเกษมได้ลาสิกขาในอีกไม่กี่วันต่อมาจึงได้รู้ว่าพระเกษมพูดจริง
คำถามก็คือเป็นไปได้หรือที่คนร่วมเพศกันแล้วจะไม่รู้ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นฝ่ายกระทำ
ทำให้ผู้เขียนนึกถึงข้อยกเว้นการปรับอาบัติของภิกษุในพระธรรมวินัยจึงกลับไปสืบค้นดู
พบหลักฐานมาดังนี้ :
หนังสือ “วินัยมุข เล่ม 1” ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรสหน้า 30ได้กล่าวถึงการยกเว้นภิกษุผู้ถูกร่วมเพศแล้วไม่เป็นอาบัติคือ
- ภิกษุผู้ถูกลักหลับ
ไม่รู้ตัว
-ภิกษุผู้ถูกข่มขืน
ไม่ยินดี ไม่อาบัติ
และ ภิกษุอีก 4 ประเภทที่ไม่ต้องอาบัติ คือ
(1) ภิกษุผู้เป็นบ้าคลั่งจนถึงไม่มีสัมปชัญญะ
(2) ภิกษุผู้เพ้อถึงไม่รู้สึกตัว
(3)
ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้าถึงไม่มีสติ
(4) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น
(ภิกษุรูปแรกที่ทำให้เกิดการบัญญัติสิกขาบทนั้นขึ้นมา)
ภิกษุ 4 ประเภทนี้ได้รับการยกเว้นทุกสิกขาบทว่าเป็นผู้ไม่ต้องอาบัติ
เมื่อวิเคราะห์จากคำสัมภาษณ์โดยละเอียดอย่างน้อย
5 คลิป ทั้งส่วนที่เกษมให้สัมภาษณ์และส่วนที่คู่กรณี (ต่อ) ออกมาให้สัมภาษณ์จึงวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตพระเกษมสามารถเป็นไปได้
ซึ่งอาจจะเป็นข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ข้อแรก ของภิกษุผู้ไม่ต้องอาบัติ คือ
(1)
ภิกษุผู้เป็นบ้าคลั่งจนถึงไม่มีสัมปชัญญะ
(2) ภิกษุผู้เพ้อถึงไม่รู้สึกตัว.
(3) ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้าถึงไม่มีสติ
ข้อยกเว้นข้างต้นก็แสดงว่าในอดีตกาลเคยมีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วจึงมีข้อยกเว้น หากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วระบุไว้ก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อวิเคราะห์จากฝ่ายที่ถูกร่วมเพศคือ
นายต่อ ได้ให้การว่าในขณะเกิดเหตุ พระเกษมมีอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปไม่ใช่พระเกษมคนเดิม (รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย / เรื่องเล่าเช้านี้) จึงเป็นไปได้ที่พระเกษมไม่รู้ตัวจริง
ๆ ซึ่งเกษมอาจจะมีอาการของโรคบางอย่าง หรือถูกวิญญาณของอมนุษย์เข้าสิงอย่างที่เขาให้สัมภาษณ์ในสื่อก็เป็นได้ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่เกษมเองก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้
แต่ครั้งหลัง ๆ เกษมเปิดเผยว่าตนรู้ตัวตั้งแต่ต้น
(คลิปแถลงการณ์จากวัดสามแยก) นั่นก็หมายความว่าครั้งแรกเกษมยังไม่ต้องอาบัติ แต่อาบัติเกิดขึ้นเมื่อเกษมรู้การกระทำนั้นมากขึ้นในครั้งหลัง
ๆ เมื่อวิเคราะห์ว่าเขาผิดจึงตัดสินใจลาสิกขาด้วยตนเอง
เรื่องราวของอดีตพระเกษมที่เปิดเผยออกมาในครั้งนี้
น่าจะทำให้เราได้ตระหนักรู้มากขึ้นว่าเราไม่ควรด่วนเชื่อข่าวหรือด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป
ข่าวที่ปรากฏในสื่อเราไม่ได้รู้ความจริงไปเสียทั้งหมด หากบุคคลที่ตกเป็นข่าววิเคราะห์เรื่องราวได้ไม่ชัดเจน
มีคำพูดไม่ชัดเจน เมื่อมีคำพูดไม่ชัดเจน คนเขียนข่าวอาจตีความไปในอีกความหมายหนึ่งที่ผิดพลาด สุดท้ายเมื่อข่าวถึงผู้รับ
ผู้รับอาจจะมีอคติอยู่แล้วเมื่อได้รับข่าวสารก็จะตีความไปในอีกความหมายหนึ่ง จึงเป็นไปได้ว่าข่าวจากต้นทางเป็นเรื่องหนึ่งแต่ปลายทางกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เราไม่ควรเชื่อข่าวไปเสียทั้งหมด เพราะข่าวที่เกิดขึ้นอาจมีความผิดพลาดบางอย่างในระหว่างการส่งมอบจนกว่าเราจะได้ยินจากปากของเจ้าของเรื่องเอง
· *** สุดท้ายเกษมได้พนมมือขอขมาต่อพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ขอขมาต่อครูบาอาจารย์ คณะสงฆ์ในความไม่รู้ของตนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้กระทำลงไปตั้งแต่ต้น เขาพูดขอขมาผ่านสื่อทุกสื่อที่เขาให้สัมภาษณ์ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขายอมรับในความผิดพลาดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริง
ๆ
· *** เราควรเรียนรู้มากขึ้นว่า
พระสงฆ์ก็คือมนุษย์ธรรมดา ๆ ที่ผิดพลาดได้ เพียงแต่เขาอยู่ในเครื่องแบบที่ถูกคาดหวังว่าต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พระสงฆ์ก็ยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง มีความเข้าใจผิดในเรื่องราวต่าง ๆ ได้
· ***หากครูบาอาจารย์ของเราทำผิด เราควรมองท่านด้วยความเมตตา
ให้อภัย เมื่อท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ท่านย่อมทำผิดพลาดได้ เราไม่ควรยึดติดในตัวครูอาจารย์
ไม่ควรยึดติดในตัวบุคคลมากเกินไป เมื่อท่านไม่ได้เป็นในสิ่งที่เราคาดหวัง
ตัวเรานั่นเองที่จะเป็นทุกข์มากเพราะความยึดติดของเรา
· *** การเขียนวิพากษ์วิจารณ์ใครลงในสื่อสังคมออนไลน์ด้วยคำพูดแรง
ๆ เราได้ความสะใจ แต่ผลกระทบกับจิตใจของคนที่เราเขียนถึงย่อมส่งตรงถึงเขาด้วย หากเราย้อนกลับมานึกถึงตัวเราเองบ้างว่าวันหนึ่งวันใดเราทำผิดพลาด
วันนั้นเราจะเข้าใจทันทีว่าเราก็ต้องการความเข้าใจ ไม่ต้องการถูกซ้ำเติมเช่นเดียวกัน
· เกษมไม่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายมาก่อน ต่อก็ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน
เขามีลูกมีเมียแล้ว เกษมออกมายืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นเกย์
ตกลงแล้วอะไรคือความเป็นเกย์ในการรับรู้ของสังคม
?
มุมมองของสังคมที่นิยามเกย์ว่าคือผู้ชายที่มีเซ็กซ์กับผู้ชายด้วยกันจะใช้กับเกษมและต่อได้หรือไม่
?
นี่คงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนเราชอบสรุปและตัดสินคนอื่นให้เป็นนู่น
เป็นนี่ เป็นนั่น บางทีการเปิดโอกาสให้คน
ๆ นั้นได้นิยามตนเองว่าเขา/เธอเป็นอะไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุก
ๆ คน
· สุดท้าย ถึงแม้ว่าเกษมจะลาสิกขา
ไม่ได้เป็นพระแล้ว แต่ความเป็นพระของเกษมนั้นอยู่ที่จิตใจของเขาเอง เมื่อเขาออกมายอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
และขออภัยทุกๆ คนที่ได้กระทำผิดลงไป บางทีความเป็นพระก็ไม่ได้อยู่ที่จีวรเสมอไป
คุณผู้อ่านคิดเหมือนผู้เขียนไหม ?
……………………………………………………………………………………………………………
คลิป 1 พระเกษมลาสึก (ความยาว 1.57 นาที) ลาสึกกับคณะสงฆ์และต่อหน้าญาติโยม เวลาตี 1 ของวันที่ 18 ม.ค.(เผยแพร่ 20 ม.ค.2558)
คลิป 2
แถลงการณ์จากวัดสามแยก(ความยาว 13 นาที) ครั้งแรกกระทำไปโดยไม่รู้ตัวจริง ๆ ครั้งหลัง ๆ ก็เริ่มรู้ตัวบ้าง
จนกระทั่งรู้ตั้งแต่ต้น แต่เวลานั้นยังสามารถทำฌานสมาบัติได้จึงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไร
จนกระทั่งวันที่ 17 รู้สึกว่าฌานเสื่อม ไม่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้อีก เมื่อนั้นจึงรู้ตัวแล้วว่าตนไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ตนเองเข้าใจผิดมาตลอด จึงลาสิกขา(เผยแพร่ 23ม.ค.2558)
คลิป 3ให้สัมภาษณ์รายการเด่นข่าวดึก
(ความยาว 5.44
นาที) “กำลังเสพอยู่ยินดี ต้องอาบัติ
แม้เมื่อไม่ยินดี ประกอบกับอุเบกขาก็ต้องอาบัติ
เมื่ออ่านแล้วรู้สึกไม่สบายทุรนทุรายอย่างแรง จึงเรียกประชุมในศาลาในเวลา 6
ทุ่มกว่าเพื่อสึกในเวลาตี 1พร้อมขอขมาต่อพระอริยเจ้าทั้งหลาย และขอขมาลูกศิษย์ทุก
ๆ คน”(เผยแพร่ 20 ม.ค. 2558)
คลิป 4ให้สัมภาษณ์วู้ดดี้เกิดมาคุย(ความยาว 27 นาที) ให้สัมภาษณ์ท่ามกลางลูกศิษย์และต่อหน้าลูกศิษย์ชื่อต่อ (เผยแพร่ 25 ม.ค. 2558)
คลิป 5 ต่อให้สัมภาษณ์เรื่องเล่าเช้านี้ (ความยาว 5.21 นาที) ต่อบอกว่าพระเกษมมีอาการเหมือนผีเข้าแล้วพยายามเสพเมถุนกับตนจนสำเร็จ (เผยแพร่ 20 ม.ค. 2558)