วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ต้นโพธิ์แตกกิ่งใบที่เกาหลี - In My Heart In My Seoul



คมชัดลึก  วันพระ  30  มิถุนายน  2558




          เรามีโอกาสไปดูงานพุทธศาสนาที่เกาหลีใต้ภายใต้การทำงานของ “เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคม” International Network of Engage Buddhists (INEB) มีผู้ร่วมเดินทางเป็นพระภิกษุ ๙ รูป แม่ชี ๔ ท่าน ฆราวาส ๓ คน ก่อนไปเราไม่มีภาพเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่นั่นเลย เรียกว่าเป็นจินตนาการที่ว่างเปล่า การไปดูงานครั้งนี้ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาให้รู้จักพุทธศาสนาที่นั่นเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว คนไทยหลายคนคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เกาหลีมีพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้เมืองไทย






          ก่อนจะรู้จักกับพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีเราน่าจะรู้จักอดีตของประเทศเกาหลีโดยสังเขปเสียก่อน 



          ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๘๘ เป็นช่วงเวลา ๓๖ ปีที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นบุกรุกและครอบครอง ด้วยเหตุนี้เวลาที่คนเกาหลีได้ยินคำว่า “ญี่ปุ่น” จึงมักมีปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ 



          ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบสิ้น ญี่ปุ่นแพ้สงครามเป็นผลให้ญี่ปุ่นต้องถอนทัพออกจากเกาหลีซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดี แต่โชคร้ายโซเวียตได้เข้ามายึดครองส่วนเหนือในขณะที่อเมริกาเข้ายึดครองส่วนใต้ ทั้งสองมหาอำนาจเข้าแย่งการปกครองเกาหลี ในที่สุดทำให้ประเทศเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน

 
         บัดนี้กาลเวลาผ่านไป ๗๐ ปีแล้วทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ต่างเจ็บช้ำไปกับสงครามที่ผ่านมาราวกับแผลเป็นที่ไม่เคยลบเลือนหายไป การเปลี่ยนผ่านด้านศาสนธรรมที่เกิดขึ้นกับเกาหลีจากอดีตกาลประชาชนเคยนับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผลของการยึดครองโดยญี่ปุ่นและผลของสงครามทำให้พุทธศาสนาล่มสลายจำนวนผู้นับถือพุทธศาสนาลดลงอย่างน่าตกใจ    






         
หินแกะสลักเป็นรูปพระศากยมุนี  ที่วัดโจเกซา 
มีการวาดเป็นการ์ตูนโปสการ์ด ราคาภาพละ 1,000 วอน  (คิดเป็นเงินไทย 37 บาท)



 

          ในภาวะหลังสงครามและการถูกแบ่งประเทศประชาชนอดอยากยากแค้น คริสต์ศาสนาโดยการนำของชนชาติตะวันตกถูกนำเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ด้วยการมอบสิ่งอำนวยความสะดวกและชีวิตที่ดีกว่า นั่นย่อมทำให้คนเกาหลีจำนวนไม่น้อยหันไปเป็นคริสเตียน จนชาวเกาหลีที่นับถือคริสต์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ในที่สุดจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ก็มีมากกว่าพุทธ ปัจจุบันมีชาวเกาหลีที่นับถือพุทธเหลืออยู่ ๒๓ เปอร์เซ็นต์ คาทอลิก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ โปรเตสแตนท์ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นผู้ไม่ระบุว่านับถือศาสนาอะไรซึ่งมีอยู่เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด



          ถึงแม้จำนวนประชาชนชาวเกาหลีที่นับถือศาสนาพุทธจะลดน้อยลงไปมากแต่พุทธศาสนาในเกาหลียังมีลมหายใจอยู่ พุทธศาสนาที่นี่เป็นนิกายมหายานที่เดินทางมาจากประเทศจีนซึ่งเข้ามาลงหลักปักฐานที่เกาหลีเมื่อ ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว ปัจจุบันพุทธศาสนาที่นี่มีประมาณ ๓๐ นิกาย นิกายที่โดดเด่นและมีอิทธิพลมากที่สุดคือนิกายโจเกที่เรากำลังไปเยี่ยมเยือน   

 

           
         ท่านอาจารย์โพมงิมพระเซ็นนิกายโจเกในวัย ๖๐ ได้ก่อตั้ง “ชุมชนจ็องโต” (Jungto Society) ขึ้นมาเมื่อ ๒๗ ปีที่แล้วเพื่อปฏิวัติพุทธศาสนาให้ฆราวาสชาวพุทธเกิดการเรียนรู้และเข้าถึงแก่นคำสอนทางพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น


                                  * พระอาจารย์โพมงิม ผู้ก่อตั้งชุมชนจ็องโต




          ท่านโพมงิมเล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผ่านมาหลังจากประเทศเกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครองและถูกแบ่งประเทศ วิถีชีวิตของพระสงฆ์ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพระที่มีครอบครัว ในขณะที่พระสงฆ์ที่ประพฤติพรหมจรรย์ยังคงมีอยู่ เวลานั้นพระธรรมคำสอนถูกบดบังแปรรูป สงครามทำให้ผู้คนสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เมื่อท่านโพมงิมมองเห็นจุดนี้จึงมีความคิดที่จะรื้อฟื้นจิตวิญญาณของคนเกาหลีที่ยังคงนับถือพุทธศาสนาให้ตื่นขึ้นท่ามกลางสังคมเกาหลีที่เปลี่ยนไปสู่โลกสมัยใหม่ที่เจริญก้าวหน้าไปในด้านวัตถุและเทคโนโลยีอันทันสมัยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด   



ชุมชนจ็องโตหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมจ็องโตได้แทรกตัวอยู่ในเมืองหรือไม่ก็ตั้งอยู่ร่วมกับชุมชนในชนบทซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างจากวัดซึ่งมีถึง ๑๐๐ สาขากระจายอยู่ทั่วเกาหลีใต้ มีการสวดมนต์ ศึกษาพระธรรม เจริญสมาธิภาวนา ชุมชนจ็องโตในแต่ละแห่งจึงเปรียบเสมือนวัดสำหรับฆราวาสให้ฆราวาสได้เข้ามาฝึกตนปฏิบัติธรรมและเรียนรู้พุทธศาสนา ชุมชนจ็องโตบริหารและดำเนินการโดยฆราวาสเน้นการเป็นอาสาสมัครโดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นอาสาสมัครทำงานรับใช้ศูนย์ปฏิบัติธรรมเพื่อเผยแผ่ศาสนาในรูปแบบฆราวาสโดยไม่หวังค่าตอบแทน สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำจะมีเงินติดกระเป๋าให้ใช้จ่าย ๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน โดยใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในศูนย์ เรียกว่าเป็นฆราวาสที่ใช้ชีวิตแบบพระภิกษุผู้สันโดษมักน้อยก็ไม่ผิดนัก



          ในด้านการปฏิบัติธรรม ท่านโพมงิมได้ออกแบบหลักสูตร “๑๐๐ วันแห่งการตรัสรู้” ขึ้นมา เป็นหลักสูตรการปฏิบัติธรรมเพื่อการแปรเปลี่ยนสำหรับคนรุ่นใหม่ให้คนหนุ่มคนสาวได้เข้ามาฝึกฝนปฏิบัติตนให้เข้าใจพุทธศาสนาผ่านการปฏิบัติธรรม โดยภาพรวมก็คือการปฏิบัติธรรม ๑๐๐ วันสำหรับฆราวาสนั่นเอง หาก ๑๐๐ วันยาวนานเกินไปก็มีหลักสูตรอื่นๆ ที่เบามือลงมาคือ ๕ วัน หรือ ๑๐ วัน 


          ท่านโพมงิมเล่าให้ฟังว่า หลักสูตร ๑๐๐ วันแห่งการตรัสรู้ไม่ได้เปิดรับแค่หนุ่มสาวชาวพุทธเท่านั้นแต่เปิดรับใครก็ได้ที่พร้อมจะปฏิบัติธรรม ๑๐๐ วัน ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาอะไร นี่เป็นเหตุให้ชาวคริสต์รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลยให้ความสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อความเปลี่ยนแปลง 



          โดยภาพรวมเราไม่อาจพูดได้ว่าชาวพุทธในเกาหลีมีจำนวนลดลง เพราะจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีคนที่เข้าไปศึกษาและปฏิบัติธรรมในชุมชนจ็องโตโดยที่พวกเขายังเป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนท์โดยไม่ได้สมาทานว่าเป็นชาวพุทธ หรือบางทีพวกเขาอาจนับถือสองศาสนาก็เป็นได้ใครจะรู้



                           บรรยากาศของวัดอุมมุนซา วัดภิกษุณีท่ามกลางหุบเขา




          ที่นี่มีวัดภิกษุและวัดภิกษุณีรวมกันประมาณ ๑๓,๐๐๐ วัด เราไปชมวัดทั้งในกรุงโซลและนอกเมือง หลายวัดคงความใหญ่โตสวยงามอลังการ อย่างวัดทองโดซา (Tongdosa) มีวิหารที่ใหญ่โตวิจิตรงดงามและยังใช้เป็นห้องเรียนสอนธรรมะให้ฆราวาสจำนวนพันๆ คน หรือวัดบุลกุกซา (Bulguksa) ก็มีอายุเป็นพันปีแต่ก็ยังมีพระสงฆ์พำนักอยู่และยังถูกยกให้เป็นมรดกโลก การที่เราพูดว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาของโลกอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเราไม่เคยไปชมพุทธศาสนาในประเทศอื่นเราจึงทึกทักเอาว่าประเทศของเราเท่านั้นที่เป็นหนึ่งด้านพุทธศาสนา หากเราได้เห็นพุทธศาสนาในประเทศอื่นๆ เราอาจจะต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่



          จากนั้นเราก็ไปชมสถานีโทรทัศน์พุทธที่ถ่ายทอดรายการพุทธศาสนา ที่นั่นมี ๒ สถานีคือ BTN และ BBS ทั้งสองสถานีมีตึกสูงตระหง่านเป็นของตนเองอยู่ใจกลางกรุงโซล ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือสถานีโทรทัศน์ทั้งสองมีห้องสวดมนต์ขนาดใหญ่ไว้ใช้สวดมนต์จุคนได้เป็นร้อย สถานีโทรทัศน์จึงไม่ใช่แค่สถานีโทรทัศน์เท่านั้นแต่จัดเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเลยทีเดียวก็ว่าได้



          สุดท้ายเราได้ไปเยี่ยมชมวัดภิกษุณีอย่างน้อย ๒ แห่ง ซึ่งเป็นวัดภิกษุณีที่ใหญ่โตมาก แห่งแรกคือวัดอุนมุนซา (Unmunsa) เป็นสำนักภิกษุณีที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาในชนบทไกลออกไปจากเมือง ที่นี่ยังเป็นมหาวิทยาลัยภิกษุณี มีภิกษุณีทั้งหมด ๑๖๐ รูป กับอีกวัดหนึ่งซึ่งถือเป็นวัดศูนย์กลางภิกษุณีแต่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโซลชื่อวัดฟบยงซา (Phobyongsa) จัดเป็นวัดที่ใหญ่โตเช่นกัน ภายในวัดมีห้องประชุมสัมมนาที่ทันสมัย มีห้องเย็บจีวรสำหรับแจกจ่ายจีวรที่เย็บแล้วไปยังวัดพระภิกษุและวัดภิกษุณีในเครือข่าย


          ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าพุทธศาสนาในเกาหลียังไม่ตาย ต้นโพธิ์ตรัสรู้ยังคงแตกกิ่งก้านสาขาเจริญเติบโตงอกงาม เพียงแต่เราไม่เคยรับรู้หรือไม่เคยมองเห็น.