เขียน / พระชาย วรธัมโม
ภาพ / ความสุข และความสุข
เมื่อวันออกพรรษามาถึง
นั่นหมายถึงช่วงเวลาอยู่กับที่ของพระภิกษุได้สิ้นสุดลง และช่วงเวลาแห่งการลาสิกขาของพระบวชใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น
ลาสิกขาคืออะไร
ภาษาทางการของคำว่า “ลาสึก” คือ “ลาสิกขา” ไม่ใช่ ลาสิกขาบท อย่างที่ชอบเขียนกันผิดๆ
สิกขา หมายถึง การศึกษา
แต่เป็นการศึกษาที่รวมถึงการปฏิบัติด้วย ลาสิกขาจึงหมายถึง “การบอกลาการปฏิบัติในศีล
๒๒๗ ข้อ” พระภิกษุผู้ไม่อาจปฏิบัติในศีล ๒๒๗ ข้อได้อีกต่อไปหรือมีเหตุจำเป็นต้องลาสึกจึงขอลาศีล
๒๒๗ ไปสู่ศีล ๕ ใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์
เราจึงเรียกว่า “ลาสิกขา”
ลาสิกขาไม่ได้หมายถึง “ลาไตรสิกขา” ถ้าหากหมายถึง “ลาไตรสิกขา” ละก็เรื่องใหญ่เลย เพราะนั่นหมายถึงการบอกลาการปฏิบัติใน
“ศีล สมาธิ ปัญญา” อันเป็นหัวใจของการศึกษาพุทธศาสนา นั่นเท่ากับเป็นการหยุดปฏิบัติใน
ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งไม่น่าจะใช่ความหมายนี้
วิธีการลาสิกขาทำอย่างไร
พระภิกษุผู้ลาสิกขากล่าวคำลาสิกขาต่อหน้าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเพียงรูปเดียวก็สามารถลาสิกขาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สงฆ์เป็นหมู่คณะ
และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในโบสถ์หรือในเขตพัทธสีมา ลาสิกขาที่ไหนก็ได้
แท้จริงแล้วการลาสิกขาเป็นการประกาศยุติการเป็นนักบวชด้วยตนเอง
คนอื่นเป็นเพียงผู้รับรู้เหตุการณ์เท่านั้น ในกรณีที่ไม่มีพระภิกษุ
ในพระวินัยท่านอนุญาตให้คฤหัสถ์เป็นสักขีพยานให้ได้ โดยพระภิกษุผู้ลาสิกขาหันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปพร้อมกล่าวคำลาสิกขาต่อหน้าพระพุทธรูป
โดยมีคฤหัสถ์นั่งเป็นสักขีพยานอยู่เบื้องหลังพระภิกษุ
การลาสิกขาถือเป็นพิธีกรรมที่ง่ายมาก
ขอเพียงมีผู้รู้เห็นเป็นพยานเท่านั้นก็สำเร็จพิธี
คำลาสิกขา
คำลาสิกขากล่าวว่า “สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติมัง ธาเรถะ” เมื่อกล่าวคำนี้ต่อหน้าพระสงฆ์หรือบุคคลที่เป็นพยานถือว่าภิกษุผู้ลาสิกขาได้กลายเป็นคฤหัสถ์ไปในทันทีเพราะคำลาสิกขาแปลว่า
“ข้าพเจ้าลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”
ทำใจอย่างไรเมื่อลาสิกขา
โดยทั่วไปเมื่อลาสิกขาต่อหน้าอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านมักจะให้โอวาทแก่เราด้วยการตั้งจิตให้มั่นว่าเราต้องการละจากเพศสมณะจริงๆ
ขณะกล่าวคำลาสิกขาต้องทำจิตตั้งมั่นว่าบัดนี้เรากำลังจะกลายเป็นฆราวาสแล้วไม่ใช่พระอีกต่อไป
หากเรายังรู้สึกตัวว่าเป็นพระจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงเนื่องจากเราตัดความเป็นพระไม่ขาด
เมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตฆราวาสทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะกลายเป็นอาบัติโดยไม่รู้ตัวและมีความผิดเนื่องจากความเป็นพระยังคงอยู่
เวลาได้ยินคำสอนลักษณะนี้แล้วก็นึกขำอยู่ในใจ
จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสามารถละวางความรู้สึกว่าเป็นพระได้ในทันทีหลังจากกล่าวคำลาสิกขาเช่นนั้น
เพราะความเป็นพระที่อุตส่าห์สั่งสมบ่มเพาะมาตลอด ๓ เดือนยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกอย่างแน่นแฟ้น
เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ เราจะละวางความรู้สึกว่าเป็นพระได้ในทันทีนอกเสียจากตอนบวชเป็นพระเคยปฏิบัติสติปัฏฐานกำหนดความเป็น
“อนัตตา” ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนว่าตนเองไม่ใช่อะไรแม้แต่การเป็นพระก็เป็นเรื่องปรุงแต่ง
ถ้ากำหนดเช่นนี้มาตลอด ๓ เดือนก็เชื่อว่าขณะลาสิกขาไม่จำเป็นต้องทำใจอะไรมากมาย
เป็นเรื่องสบายๆ ไม่ต้องคิดปรุงแต่งว่าตนเองกำลังจะหลุดจากความเป็นพระ เพราะปกติเราก็ไม่ได้เป็นพระหรือเป็นอะไรกันอยู่แล้ว
แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยทั่วไปเวลาเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุเราก็มักกำหนดความเป็นตัวเป็นตนว่า
“ข้าพเจ้าเป็นพระภิกษุ” ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครมากำหนดว่าตนเองเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ครั้นเมื่อถึงเวลาลาสิกขาจึงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จู่ๆ เราจะละวางความเป็นพระได้ในทันทีโดยอัตโนมัติ
ในทางเดียวกันพระที่บวชระยะสั้น ๗ วัน
๑๐ วันแล้วลาสิกขา จู่ ๆ จะให้ละวางความเป็นพระก็ดูเป็นเรื่องที่น่าสับสนอย่างไรชอบกล
เพราะลำพังชั่วเวลา ๗ วัน ๑๐ วัน จะทำให้คนๆ
หนึ่งรู้สึกตัวว่าเป็นพระได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้น้อยมาก
การจะรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นพระได้นั้นต้องใช้เวลาบ่มเพาะกันนานเป็นเดือนกว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นพระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่บวชระยะสั้นเมื่อถึงเวลาลาสิกขาคงทำใจกันสับสนเพราะตนเองเพิ่งบวชได้ไม่นานยังรู้สึกตัวว่าเป็นฆราวาส จู่ๆ
จะให้รู้สึกตัวว่าเป็นพระแล้วก็สลับมาให้รู้สึกตัวว่าเป็นฆราวาสอีกทีในตอนสึกก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าจะทำให้สับสนภายใน
คำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ “ทำใจให้เป็นปกติ”
เพียงแค่กำหนดรู้ว่าขณะนี้กำลังเปลี่ยนสถานะจากพระเป็นคฤหัสถ์ก็เท่านั้นเอง
หากยังรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นพระก็ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหาอะไรในเมื่อความรู้สึกตัวว่าเป็นพระเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปละวางอะไร
อาจจะดีเสียอีกตรงที่ความรู้สึกว่าเป็นพระที่ยังคงมีอยู่นั้นจะได้ต่อเนื่องเป็นกำลังใจแก่เราในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในเพศฆราวาสสืบต่อไป
ออกพรรษา ออกศึก
สมัยก่อนเมื่อลาสิกขาแล้วทิดสึกใหม่มักจะลดศีลตนเองลงมาให้เหลือศีล ๘
และอยู่วัดสัก ๒-๓ วันก่อนจะออกจากวัดไปผจญโลกอีกครั้งเพื่อที่ว่าใจและกายจะได้ค่อยๆ
ปรับตัว ไม่ใช่ว่าพอสึกแล้วออกจากวัดทันทีด้วยศีล ๕ อันนั้นจะทำให้ออกไปผจญโลกแบบเอ๋อๆ
ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนมีเวลาน้อยลงพอสึกแล้วก็ต้องรีบออกไปหางานทำ
จึงทำให้บางคนปรับสภาพจิตไม่ทันเนื่องจากที่ผ่านมาอยู่ในวัดมีแต่ความสงบ เมื่อต้องออกไปทำงานข้างนอกก็พบกับความสับสนวุ่นวายปรับสภาพจิตตนเองไม่ทัน
คนโบราณจึงกำหนดให้ทิดสึกใหม่อยู่วัดถือศีลก่อนแล้วค่อยออกไปผจญโลก
การลาสึกในอีกความหมายหนึ่งจึงหมายถึง
“การออกศึก” คือการออกไปเผชิญทุกข์ หลักธรรมต่างๆ ที่เคยศึกษาเล่าเรียนมาในช่วงที่บวช
เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เกิดเป็นความยินดียินร้ายขึ้นมาก็ต้องมีสติสัมปชัญญะประคับประคองจิตมิให้เตลิดเปิดเปิงไปกับสิ่งปรุงแต่ง
มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสุขย่อมมีทุกข์ มีสรรเสริญย่อมมีนินทา สิ่งต่าง
ๆ เหล่านี้เป็นธรรมดาของโลกที่มีอยู่แล้ว การใช้ชีวิตเป็นนักบวชในช่วง ๓
เดือนฤดูฝนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกตนก่อนจะออกศึกไปผจญโลก
การสวด “ชะยันโต”
ให้พระที่ลาสิกขาจึงเป็นการให้กำลังใจกับท่านว่าต้องออกไปเผชิญหน้ากับข้าศึกคือความทุกข์ในโลกฆราวาส
จงอย่าได้พ่ายแพ้กลับมา.