น.ส.พ. คมชัดลึก วันพฤหัสบดี 20 กรกฎาคม 2560
ก่อนวันสมาทานเข้าพรรษาไม่กี่วันผู้เขียนมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง
Pop Aye มายเฟรนด์ ที่สมาคมฝรั่งเศสในค่ำคืนหนึ่งอันเป็นการฉายรอบพิเศษหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกจากโรงไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
และเป็นค่ำคืนที่นักแสดงนำคือคุณธเนศ
วรากุลนุเคราะห์ ได้มาพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากหนังฉายจบ
หนังเรื่องนี้กำลังพูดถึงวิกฤตชีวิตวัยกลางคน
(หรือวัยเกษียณ ?) ของสถาปนิกชื่อ “ธนา”
ที่กำลังถูกสถาปนิกรุ่นหลานอันเป็นคลื่นลูกใหม่กำลังซัดเข้าแทนที่คลื่นลูกเก่าอย่างเขา
ธนาต้องหลุดออกมาจากโปรเจ็คการสร้างตึกใหม่ในแบบที่ไม่คิดว่าจะ
“กลายเป็นหมาตัวหนึ่ง” ดังคำตอบที่เขาพูดกับคนขับสิบล้อในฉากต่อมา
วิกฤตเรื่องถัดมาที่ธนาต้องเผชิญก็คือการที่เมียของเขาไม่สนใจที่จะมีความสุขทางเพศกับเขาซึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาเองก็ขาดการ
“ทำการบ้าน” มาระยะหนึ่งแล้ว หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือเขากำลังเผชิญกับช่วงวัยทองของชีวิตที่แม้แต่ความสุขทางเพศก็ไม่สามารถมีให้กับภริยาได้จนภริยาต้องไปพึ่งเซ็กทอย
ในเมื่ออะไรที่แย่
ๆ ต่างก็ประดังประเดเข้ามาในชีวิต ทางเดียวที่เขาจะมีความสุขได้ก็คือการกลับไปไขว่คว้าหาอดีตเพื่อเยียวยาตัวเอง ด้วยความบังเอิญธนาไปพบกับช้างตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ควาญช้างพามาหากินในเมือง เขาคิดว่ามันคือ “เจ้าป๊อปอาย”
ช้างข้างบ้านสมัยที่เขาเคยอยู่บ้านนอกที่ จ.เลย ในสมัยเด็ก ๆ ในที่สุดธนาจึงขอซื้อ
“ป๊อปอาย” เพียงเพื่อจะพามันกลับไปอยู่ในที่ ๆ มันจากมา เพื่อไขว่คว้ากลับไปหา “วันวาน”
ที่เป็นมิตรและอบอุ่นกว่าปัจจุบัน
ระหว่างทางเขาพบกับผู้คนและเหตุการณ์ต่าง
ๆ สุดจะคาดเดา ไม่ว่าจะเป็น “ชายไร้บ้าน” ที่มีความใฝ่ฝันว่าอยากไปพบกับ “พี่ชาย”
บนสวรวงสวรรค์ในวันใดวันหนึ่ง
โดยที่สถานะของชายไร้บ้านคนนั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือเมื่อเทียบกับเขาแต่ชายไร้บ้านคนนั้นยังมีความใฝ่ฝัน
ในขณะที่ตัวเขาชีวิตตกต่ำแต่ยังไม่ถึงศูนย์แต่เหตุไฉนเขาจึงสิ้นหวังได้เพียงนี้
จากนั้นธนาต้องเผชิญหน้ากับตำรวจเมื่อเขาถูกตำรวจตรวจสอบใบขนย้ายสัตว์ใหญ่ข้ามจังหวัดแล้วพบว่าใบขนย้ายสัตว์ที่ได้มาจากควาญช้างคือใบขนย้ายสัตว์เก๊
ในที่สุดเขากับป๊อปอายช้างจึงถูกตำรวจซิว
แต่จนแล้วจนรอดธนากับช้างน้อยตัวใหญ่ก็รอดพ้นจากการซิวของตำรวจด้วยความช่วยเหลือจากกะเทยขายบริการในร้านคาราโอเกะริมถนน
กะเทยที่สังคมตีตราว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ปกติ แต่ภายใต้สิ่งที่สังคมตีตราว่าไม่ปกติธนากลับได้รับในสิ่งที่เป็นหนี้บุญคุณจากบุคคลที่สังคมผลักออกไปสู่ชายขอบ
ในขณะที่บุคคลปกติ “ในเครื่องแบบ” กลับดูเป็นศรัตรูมากกว่า
แต่ในที่สุดธนาต้องเผชิญกับความผิดหวังที่ทำให้ความพยายามของเขาพังทลายเมื่อพบว่า
“ป๊อปอาย” ช้างตัวใหญ่ที่เขาคาดหวังจะพากลับไปบ้านเกิดที่ จ.เลย เป็นคนละตัวกับ
“ป๊อปอาย” ช้างข้างบ้านในวัยเด็ก เพราะ “เจ้าป๊อปอาย” ในวัยเด็กนั้นได้ตายจากไปนานแล้ว
ถึงตอนนี้ธนาได้มาถึงก้นบึ้งของความทุกข์ที่เขาต้องยอมรับความจริงเสียทีเพราะที่ผ่านมาเขาเพียงแต่ยื้อความทุกข์เอาไว้ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสถาปนิกตกรุ่นไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก
ทั้งยังดันทุรังจินตนาการถึง “ป๊อปอาย” ในวัยเด็ก
คิดเอาเองว่าช้างที่ตนกำลังช่วยเหลือเป็นช้างตัวเดียวกันกับช้างข้างบ้านในวัยเด็กตัวนั้น
คงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากหากเราเป็นคนที่เคยประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตแล้ววันหนึ่งเราตกต่ำลงจนเกือบไม่เหลืออะไรให้คนอื่นได้มองเห็นและยำเกรงในตัวเรา ธนาก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อมนุษย์มีความทุกข์ มนุษย์มักโหยหาสิ่งอื่นมาทดแทนโดยมนุษย์หวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ธนาไม่มีแม้แต่เพื่อนสนิทสักคนที่จะให้ระบายความทุกข์ใจ เขาจึงมองหา “วันวานเก่า ๆ”
ที่จะไขว่คว้าเอาไว้
ด้วยความบังเอิญเขาไปเจอช้างตัวหนึ่งแล้วทึกทักเอาว่ามันคือ “เจ้าป๊อปอาย”
ช้างที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็ก แต่อันที่จริงระหว่างนั้นเขาก็ดูเหมือนว่าเขาได้เจอเพื่อนอยู่บ้าง
เช่น ชายไร้บ้านที่เกือบจะจุดประกายให้เขาได้เห็นว่าแม้จะไม่มีอะไรเลยแค่เรามีความหวังเราก็มีความสุขได้ไม่ว่าความหวังนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่แรงบันดาลใจจากชายไร้บ้านคนนั้นอาจยังไม่เพียงพอต่อความทุกข์ที่ท่วมท้นที่มีอยู่ภายในใจของธนาจึงทำให้ธนาดิ้นรนไม่ยอมรับความทุกข์นั้น
คุณธเนศได้เล่าให้ฟังว่าตอนที่เขาเข้าฉากแสดงเป็น
“ธนา” สถาปนิกตกยากที่กำลังเผชิญกับขาลงของชีวิตเขาถึงกับน้ำตาไหลออกมาจริง ๆ
ถึงสามฉากด้วยกัน คือ ฉากที่โทรศัพท์กลับไปหาเมีย
ฉากที่พาป๊อปอายไปอาบน้ำในหนองแล้วพูดว่าป๊อปอายก็เหมือนกับเขาทั้งแก่ทั้งอ้วนและยังไม่มีบ้านจะอยู่ และฉากที่ธนาเปลี่ยนใจจะพาป๊อปอายไปส่งมูลนิธิอนุรักษ์ช้างเพื่อช่วยให้ป๊อปอายมีที่อยู่ที่ปลอดภัยโดยเขาตะโกนใส่ป๊อปอายว่าถ้าเราพลัดหลงกันก็ให้เดินตรงไปข้างหน้าอย่าหันหลังกลับมา
ทั้งสามฉากนี้คุณธเนศได้เปิดเผยให้ฟังว่าเขาสัมผัสถึงความเหงาของธนาจนถึงกับร้องไห้ออกมาจริง
ๆ นั่นหมายความว่าภาวะภายในของธนา ณ ขณะนั้นได้ตกต่ำถึงขีดสุด แม้ว่าธนาจะยังมีบ้านและเมียแต่บ้านและเมียก็ไม่สามารถเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้เขาได้จางคลายจากความทุกข์คุณธเนศจึงน้ำตาไหลออกมาทั้งสามฉาก
การมีอาชีพเป็นนักแสดงที่คนทั่วไปมักมองอย่างผิวเผินว่าเป็นโลกมายามีแต่ความลุ่มหลงมัวเมาและลวงหลอก
แต่ในมุมหนึ่งการเป็นนักแสดงก็เป็นหนทางในการเข้าถึงความจริงของชีวิตได้เช่นกันเมื่อการเป็นนักแสดงต้องเข้าไปสัมผัสกับภาวะทุกข์ของตัวละครแล้วแสดงภาวะทุกข์นั้นออกมา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงภาพยนตร์หรือละครนักแสดงจึงสามารถเข้าถึงความทุกข์ของมนุษย์ได้ รู้ว่าทุกข์มาจากไหนและทางออกของทุกข์คืออะไรเหมือนอย่างที่คุณธเนศได้สัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของตัวละคร
คุณธเนศได้บอกกับคนดูว่าภาพยนตร์เรื่อง
Pop Aye ได้เข้าไปแตะประเด็นทางสังคมในหลากหลายประเด็นด้วยกัน
แต่ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ไม่ต้องการเข้าไปลงลึกกับประเด็นต่าง
ๆ จึงเพียงแค่ใส่ประเด็นทางสังคมเข้าไปในหนังเป็นส่วนประกอบให้คนดูได้มองเห็นแบบสะกิดในใจ เช่น คนไร้บ้าน คนหลากหลายทางเพศ
เด็กกับการเห็นผู้ใหญ่มีเพศสัมพันธ์กัน
การขายบริการทางเพศในร้านคาราโอเกะ
หรือแม้แต่ฉากที่ลูกแตงโมเนื้อสีแดงและสีเหลืองตกลงมาจากรถจนถนนเลอะเทอะ
โดยที่ประเด็นทางสังคมทั้งหมดนั้นถูกร้อยเรียงผ่านตัวละครหลักสองตัวคือ
“ธนา” กับ “ป๊อปอาย” ซึ่งอันที่จริงตัวละครสองตัวนี้ก็เป็นประเด็นทางสังคมเช่นกัน
ในที่สุดธนาก็ยอมรับความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิต เมื่อเขายอมรับมันความทุกข์นั้นก็ค่อย ๆ
ทุเลาเบาบางจางลงไป อาจเรียกได้ว่า Pop Aye เป็นภาพยนตร์แนว Coming of Age คือการเปลี่ยนผ่านชีวิตหรือการค้นพบตัวเอง
Coming of Age อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นหนังวัยรุ่นก็ได้ เพราะการเปลี่ยนผ่านหรือการค้นพบตัวเองมีอยู่ทุกช่วงวัยของชีวิตเหมือนกับที่ธนาค้นพบว่าตนเองยึดติดกับสิ่งที่ผ่านมามากเกินไป
เมื่อเขาละวางมันลงนั่นก็คือเขากำลังเปลี่ยนผ่านความทุกข์ที่มีอยู่ในใจให้สูญสลายหายไปนั่นเอง.
.
.
.
.