พระสงฆ์กับประชาธิปไตยและสิทธิที่หายไป
พระชาย
วรธัมโม
คมชัดลึก อังคาร 9 เมษายน 2562
คมชัดลึก อังคาร 9 เมษายน 2562
ในขณะที่หลายคนตื่นเต้นกับการได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตเมื่อวันที่
24 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันมีบุคคลอย่างน้อยสามประเภทที่ถึงแม้จะอายุ 18
ปีขึ้นไปก็ไม่มีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง นั่นก็คือ พระภิกษุ สามเณร และแม่ชี
ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงภิกษุณีด้วยก็ได้
การที่นักบวชในพุทธศาสนาทั้งสาม-สี่ประเภทถูกจำกัดสิทธิเนื่องจากรัฐถือว่านักบวชเป็นบุคคลที่ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเรื่องทางโลก
ทางกฎหมายอ้างว่าเป็นบุคคลที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย แต่ในเชิงปฏิบัติก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย
100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราจะเห็นได้ว่าพระภิกษุสามเณรก็ถูกบังคับให้เข้ารับการเกณฑ์ทหารแบบเดียวกับฆราวาส
นี่จึงเป็นการให้คำนิยามเรื่องสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์โดยรัฐที่ดูขัดแย้งกันอย่างไรชอบกล
พอจะไปเลือกตั้งก็บอกว่าเราเป็นนักบวชไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก
แต่พอถึงเวลาเกณฑ์ทหารก็จะเอาเราไปเป็นทหารให้ได้ ในที่สุดก็เป็นการดึงนักบวชให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องทางโลกผ่านกฎหมายที่คิดว่าชอบธรรม
จึงดูเป็นวิธีการจัดการที่ขัดแย้งกันเองระหว่าง “สิทธิ” กับ “หน้าที่” ที่รัฐมอบให้
ปากก็บอกว่านักบวชห้ามเลือกตั้ง แต่พอถึงเวลาเกณฑ์ทหารก็จะให้พระไปทำหน้าที่รับใช้ชาติ
สิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ต้องมาควบคู่กัน มิใช่มอบหน้าที่ให้อย่างหนึ่งแล้วลิดรอนสิทธิอย่างหนึ่ง
หากมีการเปรียบเทียบกันระหว่างสถานะของความเป็น
“ผู้นำศาสนา” สิทธิการได้เลือกตั้งก็ยิ่งไม่เท่าเทียมกันอย่างเห็นได้ชัดว่าเหตุใดผู้นำศาสนาอื่น
ๆ จึงมีโอกาสได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ ยกตัวอย่างเช่น บาทหลวงผู้นำศาสนาคริสต์ อิหม่ามผู้นำศาสนาอิสลาม
พราหมณ์ผู้นำศาสนาฮินดู ผู้นำศาสนาซิกข์ ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงผู้นำทางความเชื่ออื่น
ๆ เช่น คนทรงเจ้าก็ยังมีสิทธิ์เลือกตั้งได้
แต่พระสงฆ์ในฐานะผู้นำศาสนาพุทธกลับไม่มีสิทธิ์ไปเลือกตั้งเฉกเช่นผู้นำศาสนาอื่น ๆ
จึงดูเป็นอะไรที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจน
พระสงฆ์
สามเณร แม่ชี ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง แต่นักการเมืองที่ถูกเลือกมาจะออกแบบการบริหารประเทศให้ขึ้นภูเขาหรือลงนรกไปในรูปแบบใดนักบวชทั้งสามประเภทที่กล่าวมาข้างต้นก็ต้องใช้ชีวิตร่วมชะตากรรมร่วมไปกับพลเมืองคนอื่น
ๆ เข้าตำรา ฉันไม่ได้มีสิทธิ์เลือกแต่ฉันก็ต้องรับเคราะห์กรรมไปด้วย
ยกตัวอย่าง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 อันเป็นผลงานอันโด่งดังของนักการเมืองไทยที่พระเณรชีไม่ได้เลือกแต่พระเณรชีก็ต้องใช้ชีวิตร่วมชะตากรรมไปกับวิกฤติของประเทศครั้งนั้น
หรือ ณ เวลานี้กรณีฝุ่น PM 2.5 ที่ปกคลุมบ้านเมืองไปหลายจังหวัดก็ไม่เห็นว่าผู้นำประเทศจะทำอะไรให้ดีขึ้นมานอกจากฉีดน้ำไปวัน
ๆ หรือบางจังหวัดอย่างเช่น เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่เห็นจะมีมาตรการอะไรมาช่วยเหลือประชาชน
ปล่อยให้คนเผาไร่เผานาทำให้เกิดฝุ่นควันกันไป นักบวชที่มีวัดอยู่ในโซนที่มีฝุ่นควันอันตรายก็ต้องรับกรรมกันไป
อย่างดีก็ไปหาซื้อหน้ากากมาใส่เพื่อเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ นี่เป็นสิ่งที่นักบวชไม่ได้เลือกแต่าก็ต้องรับกรรมกันไป
จะดีกว่านี้หรือไม่หากนักบวชในพุทธศาสนาทั้งสามประเภทมีโอกาสร่วมเลือกตั้งไปด้วยกันเพราะอย่างน้อยนักบวชก็ต้องร่วมชะตากรรมไปกับพลเมืองและประชาชนคนอื่น
ๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าเราไม่มีสิทธิ์เลือกแต่เราก็ต้องรับกรรมกันไปด้วยซึ่งไม่ยุติธรรม
อีกทั้งนักบวชก็เป็นบุคคลที่มีสติปัญญา มีความคิด มีความอ่าน แยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี
นักบวชมิได้เป็นบุคคลวิกลจริต อย่างน้อยนักบวชก็ควรมีโอกาสกำหนดชะตากรรมของประเทศด้วยการมีสิทธิ์ออกไปเลือกตั้งเฉกเช่นประชาชนพลเมืองคนอื่น
ๆ
ข้อมูลจากเว็ปไซต์
www.tcijthai.com รายงานว่าในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมีพระภิกษุจำนวน
290,015 รูป สามเณรจำนวน 58,418 รูป รวมพระภิกษุและสามเณรเข้าด้วยกันแล้วประมาณสามแสนกว่ารูป
นักบวชจำนวนมากมายขนาดนี้ถ้ามีสิทธิเลือกตั้งก็น่าจะสามารถมีส่วนร่วมกำหนดความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองไม่น้อยทีเดียว
ทั้งนี้สามเณรอาจจะไม่ได้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ย่อมมีสามเณรที่อายุ
18 ปีขึ้นไปอยู่จำนวนไม่น้อย และยังไม่นับแม่ชีที่มีจำนวนทั้งประเทศอยู่ในจำนวนหลักพันถึงหลักหมื่น
ประเด็นที่คนส่วนมากไม่ค่อยได้คิดกันก็คือ
ในทะเบียนบ้านชื่อของพระภิกษุสามเณรยังเป็นนาย รวมทั้งชื่อของแม่ชีก็ยังอยู่ในทะเบียนบ้าน
เมื่อถึงคราวเลือกตั้งชื่อของท่านเหล่านั้นไปปรากฏในรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
จะมีใครสงสัยบ้างหรือไม่ว่าชื่อของท่านเหล่านั้นจะโดนสวมรอยไปใช้สิทธิ์กันบ้างไหม เพราะเมื่อเช็คดูจะพบว่าชื่อพระสงฆ์ยังมีสิทธิ์เลือกตั้งที่สถานะเป็น
“นาย” เพียงแต่ไม่สามารถไปเลือกตั้งได้เพราะตัวจริงเป็นพระภิกษุไปแล้ว
และบ้านเราก็ไม่มีหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบตรงจุดนี้ ที่ผ่านมาจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าอาจมีการสวมรอยชื่อพระภิกษุที่ยังเป็น
“นาย” ไปใช้สิทธิ์กันบ้างหรือไม่รวมทั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมาด้วย
เวลาที่พระสงฆ์ลุกขึ้นพูดเรื่องสิทธิในการเลือกตั้งมักมีคำพูดมาจากหมู่สงฆ์ด้วยกันและในหมู่ฆราวาสว่า
“อยากเลือกตั้งก็สึกไปเลือกสิ” ถ้ามีคนพูดประโยคนี้เมื่อสัก 30 ปีที่แล้วก็ยังพอฟังได้
แต่ปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2562 เป็นช่วงเวลาที่ความรู้เรื่องสิทธิ์แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของประชาชนมากขึ้น
คำพูดนี้จึงดูล้าสมัยไปโดยปริยาย ถ้าใครยังพูดอีกก็ถือว่าเชยมากทีเดียว
เหมือนกับว่าคนพูดไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรแล้วก็ต้องพูดประชดกันด้วยวิธีนี้ซึ่งเป็นคำพูดที่สุดแสนจะล้าสมัย
และคนที่พูดก็ดูจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “สิทธิ” จริง ๆ เสียด้วยสิ
หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็อาจจะก็มีคำพูดประมาณว่า
“เป็นพระไม่มีสิทธิเลือกตั้งก็ดีอยู่แล้วไม่ต้องวุ่นวาย” แต่ความจริงก็คือแม้ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งพระก็มีโอกาสวุ่นวายไปกับเรื่องต่าง
ๆ รอบ ๆ ตัวอยู่แล้วไม่จำเป็นว่าพระมีสิทธิ์เลือกตั้งแล้วชีวิตจะต้องวุ่นวาย มันเป็นเรื่องของการจัดการสิทธิของพระสงฆ์รูปนั้น
ๆ มากกว่า
การมีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเรื่องของดุลยวินิจของแต่ละคนว่าจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่
การที่พระไปเลือกตั้งไม่ได้แปลว่าชีวิตของพระรูปนั้นจะต้องวุ่นวายไปด้วย แค่ไปที่จุดเลือกตั้งแล้วกาเบอร์ที่ต้องการแล้วกลับวัดแค่นี้ก็จบ
หรือบางรูปอาจจะไม่ไปเลือกตั้งก็ได้เพราะมันเป็นสิทธิของท่านว่าท่านจะจัดการอย่างไรกับสิทธิที่มีอยู่
ดังนั้นจึงไม่ได้แปลว่าการให้สิทธิ์พระเถรเณรชีไปเลือกตั้งแล้วจะทำให้ชีวิตของท่านเกิดความสับสนวุ่นวาย
มีหลายประเทศที่ให้สิทธิ์พระสงฆ์เลือกตั้งก็ไม่เห็นว่าพระสงฆ์ในประเทศนั้นจะวุ่นวายอะไร
อย่างเช่น ลาว กัมพูชา ศรีลังกา บังคลาเทศ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี
แต่การไม่ได้สิทธิไปเลือกตั้งนั่นแหละเป็นเรื่องวุ่นวายเพราะทำให้ขาดเสียงที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเปลี่ยนชะตากรรมของประเทศ
แทนที่จะได้คนมีความสามารถไปบริหารประเทศเรากลับได้ในสิ่งที่ตรงกันข้าม
สังคมไทยกับเรื่อง
“สิทธิ” เป็นเรื่องที่เรียนรู้กันอย่างยากลำบากทั้ง ๆ ที่เราใช้ระบอบประชาธิปไตยในการปกครองประเทศมานาน
87 ปีแล้ว เรื่องสิทธิควรมีสอนกันในโรงเรียนว่าเรามีสิทธิอะไรกันบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในเนื้อตัวร่างกายที่เราไม่ควรถูกลิดรอนตั้งแต่ปลายเส้นผมไปจนถึงเล็บเท้า
คำพูดหนึ่งที่เรามักได้ยินกันบ่อย
ๆ ก็คือ “คนเราจะเอาแต่สิทธิ แต่ไม่เอาหน้าที่” แต่เอาเข้าจริง ๆ
เรากลับพบว่าคนไทยรู้เรื่อง “สิทธิ” กันน้อยมากจนน่าตกใจ เรามีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายที่ใครจะมาบังคับให้เราไว้ผมทรงนั้นทรงนี้ไม่ได้
เรามีสิทธิในอวัยวะทุกส่วนบนร่างกายของเรา แต่สิทธิเหล่านี้เราถูกละเมิดถูกละเลยกันตั้งแต่เราอยู่ในโรงเรียนโดยกฎของโรงเรียนที่บอกให้เราไว้ผมทรงนั้นได้
ไว้ผมทรงนี้ไม่ได้ แล้วกำหนดหน้าที่เราว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้
ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ โดยมีสโลแกนว่า “เดี๋ยวโตไปจะไม่เคารพกฎกติกาของสังคม”
โดยหารู้ไม่ว่ากฎกติกาของสังคมได้ละเมิดเนื้อตัวร่างกายของเราตั้งแต่เราอยู่ชั้นประถมแล้ว
กฎกติกาของโรงเรียนได้ละเมิดเนื้อตัวร่างกายของเราเกิน 50% โดยที่เรายังไม่ได้ไปละเมิดกฎกติกาของโรงเรียนตรงไหนเลย
ในโรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องสิทธิแต่กลับไปละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก
เราจึงไม่รู้ว่าในชีวิตประจำวันเราถูกละเมิดสิทธิ์อะไรกันบ้าง
ยิ่งพอหันไปดูเรื่องสิทธิของพระสงฆ์กับการเลือกตั้ง
คนจำนวนมากจึงมองไม่ออกว่าการที่พระสงฆ์ถูกห้ามมิให้ไปเลือกตั้งนั้นเป็นการถูกลิดรอนสิทธิอย่างไร
เพราะเราถูกละเมิดสิทธิกันตั้งแต่ในโรงเรียนแล้ว
นี่ยังไม่ได้พูดถึงผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่
24 มีนาคม เลยว่าเราถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ได้เลือกตั้งไปแล้วอย่าไรบ้าง