วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุกอย่างไม่เคยว่างเปล่า...จาก บันทึกถึงพ่อ



'ทุกอย่างไม่เคยว่างเปล่า'  จาก  บันทึกถึงพ่อ

พระชาย วรธัมโม                          

                                                                   คมชัดลึก  พุธ  21  พฤศจิกายน  2555



          เมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนเพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปคือโยมพ่อ ก่อนนี้เคยคิดและจินตนาการอยู่เหมือนกันว่าหากวันใดเราสูญเสียท่านไปคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อวันลาจากมาถึงก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน ทรมานทั้งผู้ที่กำลังจะจากไปและทรมานทั้งผู้ที่ยังอยู่

          ผู้เขียนเคยมีความสงสัยอยู่ลึกๆ เช่นกันว่าหากเราตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่าสมาชิกในบ้านคนหนึ่งหายไปไม่กลับมา การดำเนินชีวิตของสมาชิกที่เหลือและบรรยากาศในบ้านจะเป็นอย่างไร ในที่สุดความสงสัยนั้นก็ถูกทำให้หายไปเมื่อเราต้องประสบกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยตนเอง

          เราพบว่ามันคือความว่างเปล่า คือห้วงเวลาของความคิดคำนึง อาลัยอาวรณ์ เศร้าสลด กึ่งหลับกึ่งตื่น คล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงของความฝัน ทางกายก็มีอาการรับประทานอาหารไม่ลง ทางจิตก็มีภาวะหดหู่ซึมเศร้าไม่เบิกบาน ภาวะของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นอย่างนี้นี่เอง

          แต่ประสบการณ์การลาจากสำหรับแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนบอกว่าตอนพ่อแม่เสียก็สามารถยอมรับและผ่านสถานการณ์นั้นไปได้ด้วยดีไม่มีร้องไห้ ไม่หดหู่ซึมเศร้า แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือผ่านไปด้วยความยากลำบาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังผ่านไปก็คือการเรียนรู้

การลาจากเป็นความทุกข์ทรมานก็จริงแต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางของมันเอง ไม่มีความทุกข์ทรมานใดจะคงทนอยู่อย่างถาวรตราบเท่าที่เราไม่ยึดติดมันไว้ เมื่อถึงเวลาความทุกข์นั้นก็ต้องสูญสลายไปเหลือไว้แต่ความทรงจำและภาพของความรู้สึกดีๆ และชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

          ที่ผ่านมาผู้เขียนมีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับพ่อที่อยากแบ่งปัน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน

          แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของผู้เขียนกับโยมพ่อเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นเท่าไรเพราะโยมพ่อไม่เคยยอมรับการออกบวชของผู้เขียนเลย

โยมพ่อเกิดที่เมืองจีนลงเรือหนีความยากจนจากประเทศจีนมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ถ้าไม่หนีมาอยู่เมืองไทยก็ต้องเป็นลูกชาวนายากจนอยู่ที่นั่น เวลานั้นญาติๆ ของพ่อก็สนับสนุนให้อพยพไปอยู่เมืองไทยกัน เมื่อมาอยู่เมืองไทยก็มีชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ต้องดิ้นรนขายผักตั้งแต่เล็ก พ่ออ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้แต่พูดไทยได้และเขียนภาษาจีนเก่ง  เมื่อโตขึ้นแต่งงานกับแม่ก็หันไปขายก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ไปเป็นหัวหน้าคนงานดูแลสวนส้มรังสิตของมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง จากนั้นก็ออกมาเช่าที่ดินทำไร่ส้มด้วยตนเองจนกระทั่งได้กำไรมีที่ดินเป็นของตนเองไว้เป็นสมบัติให้ลูกหลาน จะได้ไม่ต้องไปเช่าที่เขาอยู่จนสามารถสร้างหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงหวังให้ลูกๆ ขยันทำมาหากิน แต่เมื่อมีลูก จู่ๆ ลูกก็ออกไปบวชถึงสองคน ในความคิดของพ่อจึงมองว่าพ่ออุตส่าห์หนีความยากจนมาอยู่เมืองไทย เหตุไฉนลูกจึงไม่บากบั่นเหมือนพ่อ เหตุไฉนลูกจึงสิ้นไร้ไม้ตอกต้องไปบวชอยู่วัดขอเขากินไม่ขยันทำมาหากิน นั่นเป็นสิ่งที่พ่อไม่สามารถรับได้  ในขณะที่ลูกเห็นว่าครอบครัวมีวิบากกรรมบางอย่างที่คอยสนองผล การมีบุคคลในบ้านออกบวชน่าจะช่วยลดทอนวิบากกรรมนั้นได้บ้าง แต่นี่ก็เป็นเรื่องยากที่พ่อจะเข้าใจ

โยมพ่อกับโยมแม่และลูกสองคนแรก เด็กชายที่ยืนคือพี่ชายคนโต ส่วนโยมแม่กำลังอุ้มลูกสาวคนที่สอง หลังจากภาพนี้ผ่านไปหลายปียังมีน้องๆ คลานตามมาอีก ๘ คน ผู้เขียนเป็นคนเล็กสุด โยมแม่ยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันอายุ ๘๕ ปี


          เมื่อมุมมองชีวิตของเราเป็นไปคนละแนวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เราจะเข้าใจกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนพ่อลูกเปรียบเหมือนกับ รางรถไฟอันเป็นเส้นขนานที่ยากจะมาบรรจบกัน เมื่อเราไปบ้านเราเห็นหน้ากันเราไม่เคยพูดจาปราศรัยกันเลยจนแทบจะนับได้ว่าในปีหนึ่งๆ เราคุยกันกี่ครั้ง หลังจากบวชบางช่วงผู้เขียนก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นปีๆ เพราะเราพูดกันคนละภาษา ความสัมพันธ์ของเราเหมือนกับรางรถไฟจริงๆ

          แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อวันเวลาผ่านไปโยมพ่อชราภาพมากขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน เริ่มจากโรคถุงลมโป่งพองอันเนื่องมาจากบุหรี่ที่พ่อสูบมาตั้งแต่วัยรุ่นจนทำให้พ่อตัดสินใจเลิกบุหรี่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ตามด้วยโรคต่อมลูกหมากโตพร้อมด้วยโรคนอนไม่หลับและมีอาการชาที่ช่วงขา บางครั้งก็เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

          นี่จึงเป็นเหตุให้พ่อกับลูกมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น เราพยายามกลับบ้านให้บ่อยเพื่อเยี่ยมพ่อถามถึงสารทุกข์สุขดิบของพ่อ พ่อก็มีโอกาสถามถึงสารทุกข์สุขดิบของลูก วันหนึ่งเราเห็นพ่อต้องกินยานอนหลับทุกวันจึงถามถึงอาการนอนไม่หลับของพ่อ เพราะยาไม่ใช่อาหารหากไม่จำเป็นเราไม่ควรกินยาบ่อยๆ แต่ด้วยอาการนอนไม่หลับพ่อจึงต้องพึ่งยานอนหลับทุกวัน

          วันนั้นเราถามพ่อว่าเป็นอะไรทำไมนอนไม่หลับ คำตอบของพ่อทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจเมื่อพ่อตอบว่าเหตุที่พ่อนอนไม่หลับเพราะตั้งแต่อาเฮีย (พี่ชายคนโตของผู้เขียน) เสียชีวิต ก็ไม่มีใครขับรถออกไปช่วยขายปุ๋ยเลย (การขายปุ๋ยของพ่อในช่วงเวลานั้นเป็นรายได้หลักเข้าบ้านทางหนึ่ง) แม้ลูกคนอื่นจะช่วยขับรถแทนให้แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพี่ชายคนโต เมื่อขาด มือขวา ที่สำคัญของการทำมาหากินพ่อจึงนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงครอบครัวกลัวว่าครอบครัวจะลำบากและยังมีหนี้สินพะรุงพะรัง พ่อจึงเริ่มคิดมากและนอนไม่หลับมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นเวลา ๙ ปีแล้วที่พ่อต้องพึ่งยานอนหลับ

          สิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังทำให้เรามองเห็นความรักความห่วงใยของพ่อที่มีต่อครอบครัว เพราะความรักความห่วงใยทำให้พ่อกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ วันไหนไม่ได้กินยาก็จะนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับเป็นสิ่งที่ทรมานแต่พ่อก็ต้องอดทนไปกับมัน

          การที่บทบาทของพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวถูกกำหนดให้ต้องออกไปทำหน้าที่หาเงินนอกบ้าน ทำให้เป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะสามารถมองเห็นความรักของพ่อที่มีต่อครอบครัวได้

          ๕ ปีสุดท้ายก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นเป็นลำดับ เราพยายามหาเวลาไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้น พยายามหาเรื่องชวนคุย เราได้เห็นสังขารของพ่อที่ร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว จากคนที่เคยแข็งแรงเป็นหัวหน้าครอบครัวเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว กลายเป็นคนแก่วัยชราผมขาวจนบางครั้งแทบไม่มีเรี่ยวแรงเดินแม้แต่จะไปห้องน้ำก็ต้องคอยพยุง ผู้เขียนเริ่มรู้แล้วว่าเวลาที่เราใกล้ชิดกันเริ่มเหลือน้อยลง มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญจริงๆ เมื่อความสัมพันธ์ของเราพัฒนามาถึงขีดสุดเมื่อวันหนึ่งพ่อถามว่า พระฉันข้าวหรือยัง ในชีวิตพ่อไม่เคยทักทายผู้เขียนเลยว่าฉันข้าวหรือยัง คำถามนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งว่าพ่อยอมรับการใช้ชีวิตเป็นนักบวชของลูกแล้ว

ในที่สุดผู้เขียนจึงมีโอกาสสอนท่านให้รู้จักการเจริญสติในลมหายใจเข้าออกด้วยการภาวนาพุทโธ แต่คนแก่ในวัย ๘๕ ปีจะเข้าใจการกำหนดลมหายใจได้มากมายอะไร อย่างมากก็ทำได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว แม้แต่การจะสอนในช่วงเวลาที่ท่านยังเป็นหนุ่มก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะโยมพ่อไม่ได้ศรัทธาชีวิตนักบวชของลูกมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นเรื่องยากที่ท่านจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดีที่สุด

แท้จริงแล้วการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุดคือการนำพาท่านให้เกิดศรัทธาและปัญญาในพระศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนำพาท่านให้เข้าใจใน ไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา การเลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ดี แต่จะดีเลิศหากเราสามารถนำพาท่านให้รู้จักการปฏิบัติภาวนาทำใจให้สงบและปล่อยวาง นี่ถือเป็นการตอบแทนท่านทางจิตวิญญาณทีเดียวเพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้พัฒนาจิตใจตนเอง แม้ละสังขารไปแล้วหากยังไม่ไปนิพพานอย่างน้อยจิตย่อมไปสู่สุคติ

ผู้เขียนไม่เสียใจที่ไม่สามารถสอนโยมพ่อให้รู้จักการภาวนาได้อย่างที่คาดหวังเพราะเข้าใจในเหตุปัจจัยดี แต่อย่างน้อยเราสามารถทำให้ท่านยอมรับการบวชพระของเราได้นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จะเป็นเรื่องน่าเสียดายขนาดไหนหากเราไม่ได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกันเพื่อเรียนรู้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีถึงขั้นนี้ ต้องบอกว่าเป็นการ เลือกใช้โอกาส ที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ามากกว่า

ถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากบอกว่าเรามีเวลาเหลือน้อยแล้วสำหรับการดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ คุณผู้อ่านมีพ่อแม่ที่ทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่ หากมีก็ควรใช้โอกาสที่เหลือใกล้ชิดกับท่านให้มากที่สุดก่อนที่เวลาของคุณกับท่านจะหมดลงและไม่ควรพูดว่าไม่มีเวลา อย่างน้อยควรหาเวลาไปเยี่ยมท่านบ้างเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องมาตัดพ้อในภายหลังว่า รู้อย่างนี้ฉันมาเยี่ยมมาดูแลท่านบ้างก็ดี

สำหรับผู้เขียนเลือกใช้โอกาสสุดท้ายด้วยการกลับบ้านให้บ่อยที่สุด บางครั้งก็นอนในห้องเดียวกับพ่อและยังรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดท่านในช่วงเวลาสุดท้าย นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราได้ปฏิบัติท่านก่อนที่จะสูญเสียท่านไปในที่สุด..คนเรามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเราไม่อาจเรียกโอกาสนั้นให้กลับคืนมาได้อีก.

                                                  นอนหลับอย่างสงบนิรันดร์

** เรียบเรียงจากปาฐกถาธรรมก่อนฌาปนกิจศพโยมพ่อของผู้เขียน นายซูเหมียง แซ่อึ๊ง วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  ณ วัดเขียนเขต  ปทุมธานี

2 ความคิดเห็น:

  1. ตอนนี้เราก็ดูแลแม่อย่างที่พระเห็น. ส่วนพ่อเรา ๆไม่ค่อยได้ดูแลท่านเท่าที่ควรจะทำ. บางครั้งเราคุยกะเค้าเรารู้สึกหงุดหงิด. เพราะพ่อเราชอบพูดแบบขวานผ่าซาก ความคิดเดิมๆไม่ค่อยฟังคนอื่นพูดไม่มีเหตุผล (บาปเนอะว่าพ่อ). ตอนนี้เราก็เลยมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากคุยด้วย .....อย่างที่พระว่า อย่าให้เวลาผ่านไปเพราะเราไม่สามารถเรียกย้อนเวลากลับมาได้ "แต่มันก็รู้สึกเขินอายน๊าที่จะทำ"

    ตอบลบ
  2. ในกรณีเช่นนี้อยากบอกว่าให้เรา (ฝ่ายลูก) ถ้าพ่อของเรามี "วุฒิภาวะ" น้อย เราในฐานะลูกอาจจะต้องใช้ความมานะ-พยายามมีวุฒิภาวะเหนือกว่าพ่อ , เพื่อที่จะได้มองเห็นข้อด้อยของพ่อว่า
    บางทีพ่อคงไม่เคยเรียนรู้ศิลปะการเลี้ยงดูลูก ศิลปะการมีจิตวิทยากับลูก พ่อก็เลยมีบุคลิกเช่นนี้ , หรือช่วงวัยเด็กพ่อก็คงถูกเลี้ยงดูมาแบบขาดความเอาใจใส่ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้พ่อของเราไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับลูกอย่างไร

    เมื่อเราสามารถมองเห็น background ของพ่อ เราจะได้มีโทสะกับท่านน้อยลง มีความอดทนกับพ่อได้มากขึ้น

    ระยะ 5 ปีหลัง หลวงพี่ก็เริ่มมองเห็นพ่อในลักษณะดังกล่าวเหมือนกัน ... หลาย ๆ เรื่องกลายเป็นเรื่องที่เราให้อภัย เรียนรู้ที่จะยอมรับ และเข้าใจท่าน ...

    บังเอิญมันเป็นภาวะของปัญญาที่มองเห็นเอง ... ที่จริงถ้าเราสามารถมองเห็นตรงนี้ตั้งแต่เเรกก็คงจะดี ... เพราะยอมรับว่าก่อนหน้านั้นก็รู้สึกไม่พอใจพ่อในหลาย ๆ เรื่องทีเดียว ...

    ตอบลบ