วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

บวชภิกษุณีครั้งแรกที่เกาะยอ จ.สงขลา

พระวรธรรม / เรื่อง
สุรีย์พร ยุติธรรม / ภาพ
คมชัดลึก  วัน (พระ) อาทิตย์ 14 ธันวาคม 2557













          เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ มีงานอุปสมบทภิกษุณีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เกาะยอ จ.สงขลา พร้อมด้วยการบรรพชาสามเณรีอีก ๔๗ รูปตามโครงการบรรพชาสามเณรีของทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม


          หากนับตามประวัติศาสตร์แล้วนี่ไม่ใช่การบวชภิกษุณีที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย หากแต่ครั้งแรกนั้นเคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยลูกสาวสองคนของนายนรินทร์ ภาษิต คือจงดีวัย ๑๓ และสาระวัย ๑๘ ได้บวชเป็นสามเณรี หลังจากนั้นสองปีสามเณรีสาระอายุครบ ๒๐ ได้บวชเป็นภิกษุณีในกาลต่อมา นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ๘๖ ปีมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการบวชภิกษุณีที่เกาะยอก็มิใช่การบวชภิกษุณีครั้งที่ ๒ ในดินแดนสยามประเทศแห่งนี้ หากแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมามีการอุปสมบทภิกษุณีเกิดขึ้นหลายวาระด้วยกัน เพียงแต่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง



            งานอุปสมบทครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการบวชภิกษุณีอย่างเป็นทางการ มีการเชิญหน่วยงานภาครัฐให้เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ทั้งภาครัฐระดับท้องถิ่นได้แก่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอบต.) มีท่านศุภณัฐ สิรันทวิเนติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสมาร่วมเปิดงานในฐานะตัวแทน ศอบต.  รวมทั้งภาครัฐจากศูนย์กลางมีการส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งก็มีคำขอบคุณจากสำนักนายกรัฐมนตรีตอบกลับมา อีกทั้งมีการทำหนังสือขอพระราชทานพระกรุณาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทางสำนักพระราชวังก็มีจดหมายตอบกลับมาเช่นกัน นี่จึงไม่ใช่การบวชแบบเงียบ ๆ แต่เป็นบวชที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการทีเดียว


                                        พิธีอุปสมบทภิกษุณีจำนวน 8 รูป  (เข้าพิธีคราวละ 4 รูป)
                           คณะภิกษุนั่งปีกขวาของพระประธาน คณะภิกษุณีนั่งปีกซ้ายของพระประธาน
                                                  เป็นการอุปสมบทที่ครบสงฆ์ทั้งสองฝ่าย


            การอุปสมบทภิกษุณีครั้งนี้เกิดขึ้น ณ เขตพัทธสีมา ของ “ทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม” อันเป็นสำนักภิกษุณีตั้งอยู่ที่เกาะยอ จ.สงขลา มีคณะสงฆ์สองฝ่ายทั้งอุปัชฌาย์ฝ่ายภิกษุและอุปัชฌาย์ฝ่ายภิกษุณีมาร่วมประกอบพิธีการบวชอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย



          อุปัชฌาย์ฝ่ายภิกษุคือ พระมหาสังฆนายกมหินทวังสะ สังฆราชแห่งนิกายอมรปุระจากประเทศศรีลังกา พระกรรมวาจาจารย์หรือพระคู่สวดได้แก่ ท่านคาลุปาหนะ ปิยรตนะ และท่านธลังกาเล สุธรรมะ ทั้งสองท่านมาจากศรีลังกา ในขณะที่ปวัตตินีหรืออุปัชฌาย์ฝ่ายภิกษุณี คือ ท่านสุมิตราเถรี จากศรีลังกา ภิกษุณีกรรมวาจาจารย์ได้แก่ ท่านสุมนปาลีจากศรีลังกา ท่านสันตินีจากอินโดนีเซีย และท่านวิธิตาธรรมมาจากเวียดนาม มีพระภิกษุร่วมนั่งหัตถบาส ๑๓ รูป พระภิกษุณี ๑๕ รูป


            การบวชเป็นพระภิกษุต้องบวชเป็นสามเณรก่อนฉันใด สุภาพสตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีก็ต้องผ่านการบวชเป็นสามเณรีก่อนฉันนั้น สามเณรีคือหญิงผู้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ถือศีล ๑๐ ข้อเช่นเดียวกับสามเณร เมื่อบวชเป็นสามเณรีแล้วก่อนจะบวชเป็นภิกษุณีต้องถือปฏิบัติเป็นสิกขมานาเป็นเวลา ๒ ปี สิกขมานาคือสามเณรีผู้ถือศีล ๑๐ แต่ปฏิบัติศีล ๖ ข้อแรกอย่างเคร่งครัด เมื่อปฏิบัติเป็นสิกขมานาครบ ๒ ปีแล้วและมีอายุครบ ๒๐ ปีขึ้นไปจึงจะอุปสมบทเป็นภิกษุณี



                                 สามเณรีจำนวน 47 รูป หลังบรรพชาเสร็จกำลังเดินลงมาจากอุโบสถ



            สำหรับพิธีอุปสมบทภิกษุณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยคณะภิกษุณีสงฆ์เข้านั่งครบองค์ประชุมในเขตพัทธสีมา มีอุปัชฌาย์ฝ่ายหญิงคือปวัตตินีนั่งเป็นประธาน มีพระกรรมวาจาริณี ๓ รูปและพระภิกษุณีร่วมนั่งหัตถบาส ๑๕ รูป  จากนั้นสิกขมานา ๘ รูป เข้าสู่เขตพัทธสีมา ทำความเคารพปวัตตินีแล้วเริ่มกระบวนการสอบถามอันตรายิกธรรม ๒๔ ข้อโดยมีพระกรรมวาจาริณีเป็นผู้สอบถาม



“อันตรายิกธรรม” คือคุณสมบัติของผู้ที่จะบวชภิกษุณีมี ๒๔ ข้อ (พระภิกษุมี ๑๓ ข้อ) การสอบถามอันตรายิกธรรมของภิกษุณีเป็นที่มาที่ทำให้เกิดการอุปสมบทในสงฆ์สองฝ่ายขึ้น กล่าวคือในยุคแรกของการบวชภิกษุณีนั้นพระพุทธเจ้ามอบภาระการบวชภิกษุณีให้คณะภิกษุสงฆ์เป็นฝ่ายจัดการทั้งหมด แม้การสอบถามอันตรายิกธรรมก็ดำเนินการโดยภิกษุ เมื่อภิกษุเป็นฝ่ายสอบถามอันตรายิกธรรมกับนางสิกขมานาจึงเกิดความขลุกขลัก เพราะคำถามประกอบไปด้วยเรื่องอวัยวะเพศและรอบเดือนของสตรี เช่นถามว่า ท่านมีรอบเดือนหรือไม่ ท่านมีอวัยวะเพศสมบูรณ์แบบผู้หญิงหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้นางสิกขมานารู้สึกเขินอายที่จะตอบเพราะผู้ถามเป็นบุรุษเพศ ในที่สุดพระพุทธเจ้าจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการให้คณะภิกษุณีสงฆ์เข้ามามีส่วนในการสอบถามอันตรายิกธรรมด้วยการจัดให้มีปวัตตินีเป็นอุปัชฌาย์ฝ่ายหญิงและมีกรรมวาจาริณีฝ่ายหญิงเพื่อสอบถามอันตรายิกธรรมกับนางสิกขมานาโดยตรง เมื่อผู้หญิงถามผู้หญิงด้วยกันเองก็เกิดความสะดวกใจไม่ต้องเขินอาย สาเหตุที่การบวชภิกษุณีต้องบวชกับสงฆ์สองฝ่ายจึงมีด้วยประการฉะนี้


            สำหรับการบวชภิกษุณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อกรรมวาจาริณีสอบถามอันตรายิกธรรมจำนวน ๒๔ ข้อกับนางสิกขมานาเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ปิดท้ายด้วยการสวดญัตติจตุตถกรรมโดยมีคณะภิกษุณีสงฆ์จำนวน ๑๕ รูปเป็นสักขีพยาน


“ญัตติจตุตถกรรม” คือการสวดคู่โดยพระภิกษุหรือภิกษุณีที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หรือพระกรรมวาจาริณี (หรือที่เรียกว่าพระคู่สวด) เพื่อสวดขอมติยินยอมให้ผู้ขอบวชที่อยู่เบื้องหน้าสงฆ์ได้มีสถานะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีตามคำขอบวช  หลังจากที่กรรมวาจาริณีสวดญัตติจตุตถกรรมจบถือว่าสิกขมานาทั้ง ๘ รูปสำเร็จเป็นพระภิกษุณีเป็นลำดับแรกแต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากต้องได้รับการสวดญัตติจตุตถกรรมจากฝ่ายภิกษุเป็นลำดับถัดมา ดังนั้นจากนี้ไปจึงเป็นวาระของคณะพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่เขตพัทธสีมาโดยคณะภิกษุนั่งฝั่งตรงข้ามกับคณะภิกษุณี มีพระอุปัชฌาย์นั่งเป็นประธานตรงกลางพร้อมด้วยพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อนั้นภิกษุณีทั้ง ๘ รูปผู้ผ่านการบวชจากคณะภิกษุณีสงฆ์เข้าทำความเคารพพระอุปัชฌาย์ผู้เป็นประธาน จากนั้นพระกรรมวาจาจารย์ฝ่ายภิกษุทำการสวด “ญัตติจตุตถกรรม” ให้กับภิกษุณีทั้ง ๘ เป็นลำดับ มีคณะภิกษุและภิกษุณีร่วมนั่งเป็นสักขีพยานในเขตสงฆ์

           

               

                                 นาคินีเข้ากอดคุณพ่อ - คุณแม่ ก่อนจะเข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรี

           เมื่อพระกรรมวาจาจารย์ฝ่ายภิกษุสวด “ญัตติจตุตถกรรม” จบถือว่าภิกษุณีทั้ง ๘ รูปสำเร็จการอุปสมบทเป็นภิกษุณีอย่างสมบูรณ์ด้วยสงฆ์สองฝ่ายถูกต้องตามพระธรรมวินัย จากนั้นปิดท้ายด้วยพระอุปัชฌาย์สวดอนุศาสน์ ๑๑ ข้อให้กับนางภิกษุณีทั้ง ๘ ได้รับฟัง อนุศาสน์ ๑๑ ข้อประกอบด้วย นิสสัย ๓ คือ บิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า (ภิกษุณีไม่ต้องอยู่โคนไม้เป็นวัตรจึงเหลือเพียงนิสสัย ๓ ) พร้อมด้วยอกรณียกิจ ๘ ซึ่งมาจากสิกขาบทปาราชิก ๘ ข้อของภิกษุณี (สำหรับพระภิกษุฟังอนุศาสน์ ๘ ข้อ)



ตามธรรมเนียมเมื่อเสร็จพิธี ทั้งภิกษุและภิกษุณีผู้บวชใหม่ต้องฟังอนุศาสน์จากพระอุปัชฌาย์ทันทีเพื่อภิกษุหรือภิกษุณีผู้บวชใหม่ได้ทราบว่าตนเองทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้บ้างจะได้ไม่ละเมิดสิกขาบทด้วยความไม่รู้  ทั้งหมดนี้เป็นพิธีกรรมการบวชภิกษุณีเกิดขึ้นที่เกาะยอ จ.สงขลา เป็นวาระที่ชาวพุทธพึงอนุโมทนาที่เมืองไทยมีพุทธบริษัทครบ ๔ แล้ว                                                                                                        

                                                                                              


.
.                                                                                                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น