คราวที่แล้วเราพูดถึงพุทธศาสนาจะตกอยู่ในความดูแลของรัฐ-ประชาชนห้ามแตะ ผ่านเนื้อหามาตรา ๔ ใน
พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาซึ่งระบุว่า
“ให้รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” คราวนี้เราจะพูดถึงประเด็นอื่นๆ
ที่ปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาว่ามีกลไกการทำงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานทางพุทธศาสนาของภาครัฐที่มีอยู่แล้วอย่างไรบ้าง
ในร่าง
พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาฉบับที่กำลังมีการนำเข้าสู่การพิจารณาในครั้งนี้ประกอบไปด้วย
๓๑ มาตรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพูดถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเรียกว่า
“คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” โดยระบุหน้าที่ให้กับคณะกรรมการชุดนี้ว่าให้มีหน้าที่ดูแล
สอดส่อง ตรวจตราการกระทำละเมิด ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อพระพุทธศาสนา
รวมถึงการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงต่างๆ
อีกจำนวน ๘ กระทรวง อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
ขึ้นมาเป็นคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังมีกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรทางพุทธศาสนาจำนวน
๔ คน กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหน้าที่แต่งตั้งข้าราชการในสังกัดสำนักงานจำนวน
๒ คนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ในฝ่ายบรรพชิตมีกรรมการซึ่งมหาเถรสมาคมแต่งตั้งจากพระภิกษุหรือคฤหัสถ์จำนวน
๓ รูปหรือคน
ทั้งนี้ มีการกำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทำหน้าที่เป็นหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นประธานกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด โดยมีกรรมการ
ได้แก่ ประชาสัมพันธ์จังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
วัฒนธรรมจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อัยการจังหวัด
ฯลฯ กรรมการฝ่ายบรรพชิต มีภิกษุฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติฝ่ายละ ๑ รูป
ในที่สุดเราจะพบว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแต่งตั้งบุคลากรขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้วแต่เดิมนั่นก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด ซึ่งหน่วยงานเหล่านั้นก็ทำหน้าที่ดูแลกิจการพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
จึงเป็นประเด็นที่น่าตั้งคำถามตามมาว่าจะแต่งตั้งคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นมาเพื่อทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้วแต่เดิมให้สิ้นเปลืองงบประมาณทำไม
เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดต่างก็ทำหน้าที่ดูแลอุปถัมภ์กิจการพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
เมื่อมีการแต่งตั้งบุคลากรและมอบตำแหน่งงานขึ้นมาใหม่ก็ต้องมีเงินเดือน
มีงบประมาณที่ต้องจ่ายไปกับวาระการประชุมและค่าใช้จ่ายต่างๆ
ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่จังหวัดสองจังหวัดเท่านั้นแต่มีถึง ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้เป็นใครอื่นแต่เป็นข้าราชการที่มีงานมีหน้าที่อยู่แล้วในหน่วยงานราชการของตนจึงดูเหมือนว่าเป็นการใช้งบประมาณที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ จะมองได้ไหมว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อกินงบประมาณขึ้นมาแบบไม่ค่อยมีเหตุผล
ในขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดก็ทำหน้าที่อุปถัมภ์ดูแลกิจการพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
บางท่านให้ความเห็นว่า พ.ร.บ. อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาฉบับนี้มิใช่การแต่งตั้งกำหนดหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนเท่านั้นแต่เป็นการเปิดช่องให้รัฐเข้ามามีบทบาทและอำนาจในกิจการพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่โดยมาตรา
๒๖ ระบุว่า “พระวินยาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่สอดส่อง ดูแล
ตรวจตรา และตรวจสอบการกระทำละเมิด ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อพระพุทธศาสนา,
ตรวจสอบการเป็นพระภิกษุหรือสามเณร สังกัดและวัดหรือสำนักสงฆ์โดยให้แสดงหนังสือสุทธิและชี้แจงข้อเท็จจริง,
ตรวจสอบความประพฤติของพระภิกษุสามเณรให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย ข้อบังคับ
ระเบียบ และประกาศของมหาเถรสมาคม, นำพระภิกษุหรือสามเณรผู้ประพฤติฝ่าฝืนพระธรรมวินัย
กฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ และประกาศของมหาเถรสมาคมมอบให้กับเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะผู้ปกครองในเขตนั้นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่หรือช่วยเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ดำเนินการสอบสวนตามควรแก่กรณี”
ทั้งนี้ การใส่คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” ลงไปในเนื้อความจะทำให้ตัวแทนฝ่ายรัฐเข้ามามีบทบาทและอำนาจในการจัดการกิจการพระศาสนาและจัดการพระภิกษุสามเณรได้อย่างเต็มไม้เต็มมือมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า
การปกครองคณะสงฆ์เรามีเจ้าคณะภาค
เจ้าคณะหน เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ
เจ้าคณะจังหวัดซึ่งเป็นหน่วยงานฝ่ายบรรพชิตทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและดูแลความประพฤติของพระภิกษุสามเณรครอบคลุมส่วนท้องถิ่นทั้ง
๗๖ จังหวัดอยู่แล้ว
จึงเป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า พ.ร.บ.
ฉบับนี้จะทำการแต่งตั้งบุคลากรขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อนกับการปกครองคณะสงฆ์ทำไม
อันทำให้เกิดการสิ้นเปลืองงบประมาณชาติแทนที่จะนำงบประมาณนั้นไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น
เราน่าจะเห็นอะไรบางอย่างใน พ.ร.บ.
ฉบับนี้มากขึ้นว่ามีการพยายามเปิดทางให้รัฐเข้ามาก้าวก่ายกำกับควบคุมพระศาสนาอย่างแนบเนียนและไม่ชอบมาพากลอย่างไรบ้าง
ที่น่าสังเกตก็คือคณะกรรมการประกอบไปด้วยคฤหัสถ์เสียเป็นส่วนใหญ่ มีบรรพชิตเข้ามามีส่วนร่วมในสัดส่วนที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราน่าจะเห็นเจตนารมณ์ของ
พ.ร.บ. อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาฉบับนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พ.ร.บ.
ฉบับนี้มีเป้าหมายในการพยายามเข้าครอบงำพระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง ยังมิต้องคำนึงถึงงบประมาณที่ต้องถูกจัดสรรอย่างสิ้นเปลืองไปกับกิจการดูแลปกป้องพระศาสนาในครั้งนี้ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินมากมายมหาศาลพร้อมไปกับการรวบอำนาจโดยฝ่ายอาณาจักรผ่าน
พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาฉบับนี้ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
ถ้าหากเราเป็นห่วงศาสนาจริง กลัวศาสนาจะถูกทำลาย
กลัวคำสอนจะถูกทำให้ผิดเพี้ยน ทำไมเราไม่หันไปปรับปรุงกลไกอื่นๆ ในศาสนาให้ดีขึ้นแทนที่จะหันมาแต่งตั้งคณะกรรมการให้มาเฝ้าดูศาสนาให้เปลืองงบประมาณชาติ
ยกตัวอย่างเช่นพัฒนาหลักสูตรผู้บวชเป็นภิกษุสามเณรระยะสั้น ๗ วัน ๑๐ วัน ให้ผู้บวชระยะสั้นได้รับการอบรมถวายความรู้อย่างจริงจัง
เพราะปัญหาเร่งด่วนเกี่ยวกับพุทธศาสนาเวลานี้คือบุคคลที่เข้ามาบวชระยะสั้นมักถูกปล่อยปละละเลยโดยอุปัชฌาย์ก็ไม่สนใจใยดีในการให้การอบรมผู้บวชใหม่
ทำให้การบวชของพวกเขากลายเป็นช่วงเวลาที่สูญเปล่า หรือการออกกฎระเบียบเอาผิดกับอุปัชฌาย์ที่ปล่อยปละละเลยไม่อบรมดูแลพระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ให้ได้รับความรู้อย่างที่ควรจะได้รับ
อย่างนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ควรหันมาเอาใจใส่ดูแลแก้ไขกันมากกว่า
หรือการหันไปจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ชาวพุทธรู้จักการเจริญสติ เมื่อชาวพุทธรู้จักการเจริญสติก็จะเข้าใจแก่นคำสอนทางพุทธศาสนามากขึ้นแทนที่จะไปตั้งคณะกรรมการมาปกปักรักษาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นการจัดการที่ปลายเหตุ
อาจเป็นเพราะจุดประสงค์ของเราไม่ตรง เมื่อจุดประสงค์ของเราไม่ตรงและไม่ได้จริงใจกับการแก้ปัญหา
รูปแบบการแก้ปัญหาจึงไขว้เขว เมื่อความเข้าใจไขว้เขววิธีการแก้ปัญหาย่อมผิดเพี้ยนไปหมด
การแก้ไขปัญหาเรื่องกลัวศาสนาจะถูกทำลายไม่ใช่การไปเขียนกฎหมายขึ้นมาปกปักรักษาหรือไปตั้งคณะกรรมการมานั่งเฝ้าศาสนา
ทางแก้ที่ถูกต้องคือการหันกลับมาแก้ไขที่ต้นเหตุคือการเผยแพร่หลักธรรมแก่ชาวพุทธและการเผยแพร่การปฏิบัติ
เมื่อชาวพุทธเข้าใจหลักธรรมเข้าใจการปฏิบัติก็จะเข้าถึงแก่นศาสนา
ศาสนาก็จะคงอยู่ไม่ถูกทำลาย นอกเหนือจากนี้แล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุอันเป็นการแก้ไขที่ไม่ตรงจุดแต่กลับจะเป็นการสร้างปัญหาอย่างใหม่ที่ซับซ้อนขึ้นมาอีก.
.