อะไรก็ตามเมื่อถูกตราขึ้นเป็นตัวบทกฎหมายแล้วย่อมมีอันตรายพอๆ กับปลอดภัย
ขณะนี้กำลังมีการพยายามนำ “ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในคณะกรรมการสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
(สนช.) เพื่อให้มีการออกใช้เป็นกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้
พ.ร.บ.ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่ออุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนานี้กลับแฝงไว้ด้วยอันตรายมากว่าปลอดภัย
อันตรายได้แฝงมาในมาตราต่อไปนี้
มาตรา ๔ ให้รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในแนวทางดังต่อไปนี้ (๘)
จัดให้มีการสอดส่องดูแลและปกป้องกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามิให้มีการกระทำละเมิด
ดูหมิ่น เหยียดหยาม ทำลาย ลอกเลียน ดัดแปลง หรือทำให้วิปริตไป
มาตรา ๒๖
พระวินยาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) สอดส่อง ดูแล ตรวจตรา และตรวจสอบการกระทำละเมิด
ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อพระพุทธศาสนา
รวมถึงการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
อันตรายลำดับที่หนึ่ง หาก
พ.ร.บ.นี้ผ่านถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็น
ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนธรรม รวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติ
จะถูกควบคุมโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียว
นั่นหมายความว่าพุทธศาสนากำลังถูกทำให้กลายเป็นสมบัติของรัฐ ประชาชนทั่วไปห้ามแตะต้องยุ่งเกี่ยวหรือหากประชาชนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนธรรมคำสอนที่จำเป็นต้องมีการตีความให้เกิดความเข้าใจในมิติที่แตกต่างหลากหลายต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน
พ.ร.บ.
ดังกล่าวกำลังทำให้พุทธศาสนากลายเป็นของต้องห้ามสำหรับทุกคน!
อันตรายลำดับถัดมา แม้ว่ามาตราทั้งสองจะเขียนไว้อย่างน่าอบอุ่นใจว่า
ให้มีการสอดส่องดูแลปกป้องกิจการพระศาสนามิให้มีการละเมิด ดูหมิ่น เหยียดหยาม
ทำลาย ลอกเลียน ดัดแปลง หรือทำให้วิปริต แต่ในทางปฏิบัติเมื่อพุทธศาสนาตกเป็นสมบัติของรัฐไปแล้ว
รัฐจะใช้วิจารณญาณแบบไหนเข้ามาทำการตัดสินว่าการตีความแบบนี้ถือว่าสร้างสรรค์
การตีความแบบนี้ถือว่าทำลาย การตีความแบบนี้ถือว่าวิปริต เพราะสำนวนทางกฎหมายและเจตนาการตีสำนวนสามารถทำคนดีให้กลายเป็นคนร้าย
สามารถทำผู้บริสุทธิ์ให้กลายเป็นโจรใจบาปไปได้
สมมติว่ามีใครสักคนมีเจตนาดีในการตีความพระธรรมวินัยให้เข้ากับยุคสมัยแต่ถูกกล่าวหาว่าตีความพระธรรมวินัยให้ผิดเพี้ยน
เมื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนบุคคลผู้ถูกกล่าวหาได้ตกเป็นจำเลยถูกตัดสินว่าตีความพระธรรมวินัยให้ผิดเพี้ยนจนเขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องขอความเป็นธรรม
ในที่สุดต้องถูกตัดสินลงโทษจำคุกเพียงเพราะความเห็นต่างในการตีความ นี่จึงเป็นเรื่องน่ากลัวว่าพุทธศาสนาจะหันกลับมาทำร้ายคนแทนที่พุทธศาสนาจะปกป้องสิทธิเสรีภาพของคนต่อการทำความเข้าใจในพระธรรมคำสอน
ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจว่าคำสอนทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตามมีลักษณะเป็นปรัชญาแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมที่ต้องการการตีความให้เกิดความคิดความเข้าใจในมิติที่แตกต่างหลากหลาย
การตีความคำสอนที่แตกต่างหลากหลายนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมที่ลึกซึ้งตามระดับสติปัญญาของแต่ละคนจนกระทั่งเข้าถึงแก่นคำสอนในที่สุด
ในเมื่อมนุษย์มีสติปัญญาแตกต่างกันจึงเป็นไปไม่ได้ที่การฟังธรรมะเรื่องหนึ่งแล้วทุกคนจะเกิดความเข้าใจในธรรมเหมือนกันหมด
ธรรมเรื่องหนึ่งย่อมมีคนเข้าใจแตกต่างกันไปในมิติที่หลากหลาย ไม่ได้แปลว่าหลังจากฟังธรรมะแล้วทุกคนต้องเข้าใจเหมือนกันหมดทุกคน ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงมีคนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหมือนกันหมดในเวลาเดียวกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการเห็นธรรมไปตามสติปัญญาของแต่ละคนรวมไปถึงการแสดงความเห็นต่อธรรมะตามความเข้าใจของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะสติปัญญาของแต่ละคนมีหลายระดับไม่เท่ากัน
นี่เป็นเรื่องเสรีภาพทางสติปัญญาที่เราควรมองให้เห็นความแตกต่าง
แต่ในขณะที่ พ.ร.บ.
อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาออกมาบอกว่ารัฐมีหน้าที่ดูแลสอดส่องกิจการพระศาสนามิให้ใครมาเหยียดหยาม
ทำลาย ลอกเลียน ดัดแปลง นั่นหมายความว่าแม้แต่การตีความพระธรรมคำสอนก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐเท่านั้น ประชาชนหรือใครไม่มีสิทธิ์ตีความตามอำเภอใจ หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีต่อศาสนากำลังถูกลิดรอนโดยกฎระเบียบของรัฐ เมื่อพุทธศาสนาตกเป็นสมบัติของรัฐไปเสียแล้ว
ใครจะตีความอย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้ความพึงพอใจของรัฐ หากมีการตีความพระธรรมนอกเหนือไปจากความพึงพอใจของรัฐ
รัฐมีสิทธิลงโทษจัดการผู้ที่ตีความต่างจากรัฐ
มีความเป็นไปได้ว่ารัฐจะใช้โอกาสนี้จัดการบุคคลที่ตีความพระธรรมที่ไม่ถูกใจรัฐโดยใช้
พ.ร.บ. ดังกล่าวเข้าควบคุมจัดการ
แท้จริงแล้วการทำความเข้าใจในศาสนธรรมคำสอนเป็นการปฏิบัติอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่จะทำให้บุคคลคนนั้นเข้าถึงธรรมและบรรลุธรรมได้ด้วยตนเอง
นี่เป็นอิสรภาพเบื้องต้นที่ศาสนิกทุกคนพึงมี
คำว่า “สันทิฏฐิโก” แปลว่า “พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง”
ในเมื่อพระธรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถปฏิบัติและพึงเห็นได้ด้วยตนเองจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมาบังคับควบคุมเราให้เห็นตามแบบที่คนอื่นเห็น
เป็นไปไม่ได้ที่รัฐจะมาควบคุมให้เราเห็นธรรมในแบบที่รัฐเห็น
เพราะศาสนธรรมและการพินิจพิเคราะห์ภายในเป็นเรื่องของปัญญาญาณของแต่ละบุคคล เป็นปัจจัตตัง
รู้ได้เฉพาะตน ไม่มีใครบังคับใครได้ การบรรลุธรรมจะไม่เกิดขึ้นหากพื้นที่ส่วนตัวแห่งการพินิจพิเคราะห์ถูกยึดกุมโดยคนอื่น
การบรรลุธรรมจะไม่เกิดขึ้นหากพื้นที่ส่วนตัวมีการควบคุมโดยรัฐ
หาก พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านออกมานั่นหมายความว่าพื้นที่อิสรเสรีภาพทางจิตวิญญาณของพลเมืองจะถูกควบคุมลิดรอนโดยรัฐ
หลายคนที่ไม่ได้รู้เท่าทันกับสำนวนทางกฎหมายอาจจะคิดและมองง่ายๆ
ว่าการมี พ.ร.บ. ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาน่าจะเป็นเรื่องดี แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่าเป็นเรื่องอันตรายหาก
พ.ร.บ. ชุดนี้ผ่านออกมา ผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากประชาชนชาวพุทธทุกคนนั่นเอง
ปัญหาที่พุทธศาสนากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะมาทำลายหรือทำให้คำสอนทางพุทธศาสนาผิดเพี้ยน
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพุทธศาสนากำลังถูกทำให้กลายเป็นสมบัติของรัฐจนกลายเป็นสถาบันที่แตะต้องไม่ได้
โดยมี พ.ร.บ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาเป็นตัวทำให้พุทธศาสนาถูกแปรรูปไปเป็นสมบัติของรัฐ
แม้ประชาชนชาวพุทธที่เดินบนถนนก็อาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นว่า
พ.ร.บ.นี้จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับพุทธศาสนาของพวกเขาอย่างไรบ้าง.
(อ่านตอนที่ 2 วันพระถัดไป ศุกร์ 17 เมษายน 2558)
.
(อ่านตอนที่ 2 วันพระถัดไป ศุกร์ 17 เมษายน 2558)
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น