คำถามของชีวิต กับ จิตที่สงบ
พระชาย วรธัมโม คมชัดลึก 6 ธันวาคม 2555
สมัยเรียน ม.๑
ในชั่วโมงแนะแนวคุณครูแจกกระดาษให้คนละ ๑ แผ่นพร้อมกับถามว่า ถ้าเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถาม
๑ คำถาม นักเรียนจะถามว่าอะไร ให้นักเรียนเขียนคำถามนั้นลงในกระดาษ จำได้ว่าผู้เขียนเขียนลงไปในกระดาษว่า
“คนเราเกิดมาทำไม”
พอคุณครูได้รับกระดาษไปอ่านก็ถามว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังคำถามนี้หรือเปล่า
ก็ตอบคุณครูไปตรงๆ ว่า รู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมาชีวิตมันยุ่งเหยิง พอจบ ป.๖
ก็ต้องจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันเพื่อไปสอบเข้า ม.๑ ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่
พอเข้าโรงเรียนใหม่ก็ต้องเจอกับระบบระเบียบของโรงเรียนที่เคร่งครัดไปจากเดิม
ต้องเจอเพื่อนที่มีนิสัยแตกต่างไปจากเพื่อนตอน ป.๖ ต้องปรับตัวหลายอย่างกับเพื่อนใหม่
ครูคนใหม่ และโรงเรียนใหม่ หนำซ้ำยังต้องเรียนแผนการเรียนที่ตัวเองไม่ชอบ
อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ อยากไปเรียนโรงเรียนที่ชอบก็ไม่ได้ไป
คุณครูคงรู้สึกว่าเด็ก ม.๑
ไม่น่าถามอะไรซีเรียสจริงจังขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ชีวิตในช่วงนั้นถือว่าเป็นอะไรที่สับสนและยุ่งเหยิงสุดๆ
คำถามว่า ‘เกิดมาทำไม’ จึงผุดขึ้นมาในความคิดทันที
คุณครูยังอุตส่าห์ถามว่าในชีวิตชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือเปล่า
เพราะคนที่ตั้งคำถามว่า ‘เกิดมาทำไม’ มักถูกมองว่าเป็นคนสนใจธรรมะ ซึ่งการตั้งคำถามว่าเกิดมาทำไมอาจจะไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการสนใจหรือไม่สนใจธรรมะก็ได้
แค่รู้สึกข้องใจเฉยๆ แค่นั้นเองว่าทำไมคนเราต้องเกิดมาเพื่อมาเจอกับความสับสนวุ่นวายบนโลกนี้ด้วย
จึงตอบคุณครูไปตามความจริงว่าไม่ได้ชอบอ่านหนังสือธรรมะเลย
หลังจากนั้นคำถามว่า ‘คนเราเกิดมาทำไม’ ก็ค่อยๆ จางหายไปจากชีวิตประจำวันของผู้เขียน
เพราะชีวิตในช่วงถัดมาก็มีอะไร ๆ เปลี่ยนผ่านเข้ามาในชีวิตตลอดเวลาทั้งสุขและทุกข์
จนทำให้ผู้เขียนลืมคำถามคาใจนั้นไปในที่สุด
จากนั้นผ่านไป ๘ ปี ชีวิตของผู้เขียนก็หันเหเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
การเข้ามาบวชทำให้ได้พบกับสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต สิ่งแปลกใหม่ที่ว่าก็คือพุทธศาสนาภาคปฏิบัติที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ต้องโกนหัว ต้องนุ่งห่มผ้าเหลือง ต้องถือศีลวัตรปฏิบัติ ๒๒๗ ข้อในแบบที่เราเองก็ไม่คุ้นเคย
ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในวัด วันๆ ไม่ได้ไปไหน การที่กิจวัตรประจำวันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการบิณฑบาต
ฉัน สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วก็จำวัตรในเวลาค่ำ เป็นวงจรชีวิตที่วนเวียนอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เราอยู่ในภาวะที่สงบ
เพียงระยะเวลาอันสั้นของการเข้ามาบวชก็หล่อหลอมให้จิตของเรารู้สึกสงบไปโดยอัตโนมัติ
เมื่อเทียบกับตอนเป็นฆราวาสผู้เขียนก็เคยฝึกสมาธิภาวนาอยู่บ้างแต่จิตใจก็ไม่เคยเข้าถึงความสงบเลย
คงเพราะตอนเป็นฆราวาสเราไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมและสถานะที่เอื้อให้จิตใจของเราได้สัมผัสกับความสงบนั่นเอง
สิ่งแวดล้อมที่สงบกับศีลวัตรปฏิบัติที่มากขึ้นมีผลให้จิตสงบได้เหมือนกัน
การที่จิตเปลี่ยนภาวะจากความสนุกสนานลิงโลดในภาคฆราวาสมาเป็นความสงบในแบบนักบวช
ทำให้เกิดการสัมผัสความสุขภายในในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความสุขทางโลกที่เคยสัมผัสมา
ทำให้เกิดการรับรู้อย่างแจ่มชัดว่าความสุขที่มีเหตุปัจจัยมาจากความสงบทางจิตนั้นเป็นความสุขที่ประณีต
ซึ่งไม่สามารถอธิบายผ่านตัวหนังสือให้คุณผู้อ่านที่ไม่เคยสัมผัสกับความสุขสงบชนิดนี้ให้เข้าใจได้
แต่อยากอธิบายว่าเป็นความสุขภายในที่ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าแท้จริงแล้วความสุขของชีวิตก็คือ
“จิตที่สงบ” นี่เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุขทางโลกที่เราเสพๆ
กันอยู่เทียบกันไม่ได้เลย
ผู้เขียนระลึกย้อนหลังกลับไปตอน
ม.๑ ที่เคยเขียนคำถามลงในกระดาษว่า ‘คนเราเกิดมาทำไม’
จึงค้นพบว่าแท้จริงแล้วคนเราเกิดมาเพื่อค้นพบ ‘จิตสงบ’ นี่เอง ชีวิตคนเราเกิดมากว่าจะได้พบเจอกับความสงบทางจิตก็ต้องติดข้องกับการดิ้นรนเรื่องปากท้องและความอยากมากมายในชีวิตที่แทรกตัวเข้ามา
บางคนเกิดมาไม่นานก็พบกับจิตสงบทันที บางคนกว่าจะพบจิตสงบก็ในบั้นปลายชีวิต
แต่บางคนก็ไม่เจอและไม่เคยรู้เลยว่าจิตสงบคืออะไร
เมื่อมองย้อนกลับไปตอน ม.๑ หากเทียบกับ
อริยสัจ ๔ ผู้เขียนเข้าใจตัวเองในตอนนั้นมากขึ้นว่าเวลานั้นเรากำลังเจอ
‘ความทุกข์’ นั่นเอง “ความทุกข์” ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจ ๔ แต่เวลานั้นเรายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจอริยสัจอีก
๓ ข้อที่เหลือ คือ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ในช่วงเวลานั้นเรารู้สึกทุกข์เพราะมีหลายเรื่องที่ไม่ได้ดังใจหวังทำให้ชีวิตดูสับสนวุ่นวาย
เมื่อเจออะไรที่ไม่สมหวังเยอะเข้าๆ จึงทนไม่ไหวเกิดความข้องใจสุดขีดว่าตกลงชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร
เพื่อมาเจอกับความทุกข์เท่านั้นหรือ
สมุทัย แปลว่า สาเหตุของทุกข์ คือจิตที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดติดกับความคาดหวังต่างๆ
นานา ยึดติดเพื่อน ยึดติดโรงเรียนเก่า คาดหวังกับแผนการเรียนที่อยากเรียน
คาดหวังไปกับโรงเรียนในฝันที่ตัวเองอยากไปเรียน เมื่อจิตยึดติดกับความคาดหวังเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสมหวังไปเสียทุกเรื่อง
เมื่อผิดความคาดหวังขึ้นมาจิตก็เสียศูนย์ มีการซัดส่ายไปตามความผิดหวังหลายเรื่องที่ประดังประเดเข้ามา
นิโรธ แปลว่า
ความดับไปแห่งทุกข์ คือภาวะจิตที่ไร้ทุกข์ มีแต่ความสงบ ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนก็ยังไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร
มรรค
แปลว่า หนทางแห่งการดับทุกข์ คือ การฝึกจิตให้ละคลายจากการยึดติดต่างๆ เมื่อจิตคลายความยึดติดไปเรื่อยๆ
ก็จะกลายเป็นจิตที่อิสระ ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าการฝึกจิตต้องทำอย่างไร
ณ เวลานั้นถึงแม้ความทุกข์ของเด็ก ม.๑
จะไม่ได้รับการเยียวยาด้วยสมาธิภาวนา แต่เมื่อเวลาผ่านไปความทุกข์เหล่านั้นก็จางคลายเลือนหายไปเองเหลือไว้แต่ความทรงจำ
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเด็กคนนั้นก็จบ ม.๓ มีการเปลี่ยนโรงเรียนใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนโรงเรียนใหม่ความทุกข์เก่าหายไปความทุกข์ใหม่เข้ามาแทนที่
เมื่อเราโตขึ้น กิเลส ความต้องการ ความใฝ่ฝันของเราก็เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไป ความทุกข์ก็มีพัฒนาการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปตามการเติบโตของเรา
ความทุกข์ในวัยเด็กไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้อีกต่อไปเพราะกิเลสและความต้องการของเราเปลี่ยนแปลงหน้าตาไปแล้วแต่ก็ยังคงมีความทุกข์อันใหม่สัญจรเข้ามาเหมือนเดิม
ใครหลายคนต่างก็ตกอยู่ในสังสารวัฏแห่งการเกิดดับของความทุกข์ลักษณะนี้เรื่อยมา และไม่สามารถค้นหาวิธีการดับทุกข์ที่ชะงัดได้สักที
วิธีการดับทุกข์ที่ชะงัดก็คือการทำจิตให้สงบ
เมื่อนั้นเราจะรู้เองว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามหน้าที่ของมัน
มีเพียงจิตใจของเราเท่านั้นที่เข้าไปยึดติดข้องเกี่ยว
การทำจิตให้สงบไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งการงานแล้วออกบวช
จิตที่สงบมีได้ทั้งในเพศนักบวชและเพศฆราวาส นักบวชบางท่านบวชมานานแต่ไม่รู้จักจิตสงบก็เป็นไปได้
ฆราวาสบางคนมีจิตที่สงบกว่านักบวชก็มี
วิธีการทำจิตให้สงบเพียงแค่เราจัดช่วงเวลาสั้นๆ
ให้ชีวิตได้อยู่ในที่ๆ สงบหรือไปเรียนรู้กัมมัฏฐานที่วัด ที่นั่นเราอาจได้ลิ้มรสของจิตสงบว่าเป็นอย่างไร
เราไม่จำเป็นต้องมีจิตสงบแบบถาวรในทันที เพียงแค่รับรู้ประสบการณ์จิตสงบแบบชิมลางเพื่อเป็นจุดเปรียบเทียบให้เรารู้จักมากขึ้นว่าจิตสงบมีรสชาติเป็นความสุขที่ประณีตกว่าความสุขทางโลก
เพื่อที่เราจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของความสุขอย่างโลกๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาหลอกเราทุกเมื่อเชื่อวัน
เพื่อที่เราจะได้มีจิตสงบแบบถาวรในที่สุด
จิตสงบไม่ได้หมายความว่าเราต้องหันไปใช้ชีวิตในชนบทหรือใช้ชีวิตอยู่แต่ในวัดเท่านั้น
แต่จิตที่สงบยังสามารถทำงานอยู่ในเมืองที่ยุ่งเหยิงได้ เมื่อเราผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีจิตสงบก็สามารถอยู่กับเราและไปกับเราได้ทุกๆ
ที่ เพียงแค่เราจัดเวลาชีวิตให้มีช่วงเวลาฝึกปฏิบัติให้จิตได้รู้วิธีสงบอย่างชำนาญ
จิตสงบยังเป็น ๑ ในมงคล ๓๘ ประการ และใช่ว่าจิตสงบจะมีในพุทธศาสนาเท่านั้น
จิตสงบมีอยู่ในทุกศาสนา จิตสงบเป็นสิ่งสากลไม่ว่าชนชาติใดหรือศาสนาใดก็สามารถเข้าถึงจิตสงบได้
ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
สำหรับผู้เขียนแล้วจิตที่สงบไม่ได้ให้คำตอบแค่ว่า
‘เกิดมาทำไม’ เท่านั้น แต่จิตสงบยังให้คำตอบที่กว้างขวางกว่านั้นมาก
คำตอบที่กว้างกว่านั้นคืออะไร
อยากให้คุณผู้อ่านได้ค้นหาด้วยตนเอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น