พระชาย วรธัมโม คมชัดลึก ศุกร์ 11 มกราคม 2556
"ดูเหมือนวันเด็กคือวันที่ผู้ใหญ่พาเด็กๆ
ไปเที่ยวจนเราลืมไปแล้วว่าแก่นแท้ของวันเด็กคืออะไร"
วันเด็กกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
มีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าวันเด็กมีที่มาที่ไปอย่างไรและอะไรคือแก่นแท้ของวันเด็ก
วันเด็กเกิดขึ้นเมื่อ
พ.ศ.๒๔๙๘ โดยนายวี เอ็มกุล
ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศมองเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็กและต้องการกระตุ้นให้เด็กเห็นความสำคัญของตนเองต่อสังคม
ในปีนั้นมีประเทศที่ร่วมจัดงานวันเด็กพร้อมกันประมาณ ๔๐ กว่าประเทศโดยถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันเด็กสากล
ในเมืองไทยจัดติดต่อกันมาได้ ๙
ปีก็เห็นอุปสรรคเพราะเดือนตุลาคมยังเป็นฤดูฝนการจัดงานจึงไม่สะดวก
อีกทั้งวันจันทร์เป็นวันที่พ่อแม่ผู้ปกครองยังต้องไปทำงาน รัฐบาลจึงเปลี่ยนการจัดงานวันเด็กเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นต้นมา สถานที่สำคัญต่างๆ เปิดให้เด็กๆ เข้าชมฟรีโดยไม่เสียค่าผ่านประตู
เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สวนสนุก ฯลฯ นายกรัฐมนตรีมีคำขวัญให้เด็กทุกปี เด็กๆ
ได้รับโอกาสในวันนั้นอย่างเต็มที่จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าวันเด็กคือวันที่ผู้ใหญ่ต้องพาเด็กๆ
ไปเที่ยวโดยลืมไปว่าแท้จริงแล้ววันเด็กถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของเด็ก
ไม่กดขี่เด็ก ไม่เอาเปรียบเด็ก ไม่ใช้อำนาจกับเด็ก แต่ทุกวันนี้วันเด็กกลายเป็นวันพาเด็กไปเที่ยวแค่นั้นเอง
หลังจากนั้นเด็กก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อีกเลยจนกว่าจะถึงวันเด็กในปีถัดไป เราควรบูรณาการวันเด็กกันเสียใหม่
วันเด็กไม่ใช่แค่พาเด็กไปเที่ยว ไม่ใช่แค่วันเด็กเท่านั้นที่เราต้องเอาใจใส่เด็ก
แต่เราควรเอาใจใส่เด็กทุกวัน
ลดการเปรียบเทียบ มอบคำชมเชย
ในชีวิตประจำวันเด็กๆ
มักไม่ได้รับคำชมเชยแต่มักได้รับคำเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ เปรียบเทียบกับพี่ๆ
น้องๆ ในบ้าน หรือแม้แต่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับลูกของคนข้างบ้านว่าดีกว่า ฉลาดกว่า
ผู้ใหญ่ควรตระหนักรู้ว่าการเปรียบเทียบทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง รู้สึกตนเองไม่เป็นที่คาดหวังหรือไม่เป็นที่สมหวังของผู้ใหญ่
นำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นในตนเองและการไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
ผู้ใหญ่ควรหยุดเปรียบเทียบหยุดใช้คำพูดด้านลบกับเด็กๆ
หยุดการให้ฉายาประชดประชัน เพราะคำพูดเหล่านั้นบั่นทอนกำลังใจและการมีชีวิตอยู่ของเด็ก
ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้ที่จะชมเชยเด็ก คำชมเชยจะทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเองทำให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเองมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่รู้สึกเป็นปมด้อย
ถ้าเราหวังจะให้เด็กช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติได้เราต้องสร้างพื้นฐานให้เขารักตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเองเสียก่อน
เมื่อเขารักตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเองเมื่อนั้นเขาจะสามารถเผื่อแผ่ความรักและคุณค่าภายในที่เขามีสู่บุคคลและสังคมรอบๆ
ตัว แต่ถ้าเรามัวแต่เปรียบเทียบเขากับเด็กคนอื่นๆ
โอกาสที่เขาจะกลายเป็นเด็กมีปมด้อยแล้วสร้างปัญหาย่อมเกิดขึ้นได้
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบแล้วหันมามอบคำชมเชยให้เด็ก
หยุดคำตวาดคำรุนแรง
ผู้ใหญ่ไม่ชอบคำตวาดหรือคำรุนแรงเช่นไร
เด็กๆ ก็ไม่ชอบคำดุด่ารุนแรงเช่นนั้นเหมือนกัน
เราทราบกันดีคำตวาดหรือคำรุนแรงสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้ที่ถูกว่าถูกตวาด คำตวาดไม่ได้สร้างสรรค์ให้คนเป็นคนดีแต่คำตวาดสร้างสถานการณ์อันเลวร้ายภายในบ้าน
ทำให้บ้านไม่อบอุ่น ถ้าบรรยากาศภายในบ้านไม่อบอุ่นสมาชิกในบ้านจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้อย่างไร
ควรหันมาใช้คำแนะนำอย่างสุภาพและมีเหตุผลกับเด็กๆ เมื่อเราใช้คำสุภาพและมีเหตุผลเด็กจะรู้สึกว่าเขาได้รับความรักและความเอาใจใส่
เมื่อนั้นเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่พร้อมจะตวาดคนอื่นต่อไป
ลดความคาดหวัง มองหาจุดเด่น
พึงเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก
เด็กไม่ได้มีความสามารถที่จะทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง
บางครั้งเด็กทำอะไรไม่ได้อย่างใจก็ถูกลงโทษด้วยการดุด่าหรือตบตีอย่างรุนแรง ผู้ใหญ่ควรพยายามลดความคาดหวังพยายามเข้าใจอารมณ์ของตนเองและพยายามเข้าใจเด็กๆ
เด็กแต่ละคนมีจุดเด่นมีความเก่งที่ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนเก่งคณิต เด็กบางคนเก่งศิลปะ
เด็กบางคนเก่งกีฬา บางครั้งผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ที่จะละความคาดหวังของตนเองแล้วหันกลับมามองดูว่าเด็กของเราเก่งเรื่องใด
ผู้ใหญ่บางคนอยากให้เด็กเป็นหมอ อยากให้เด็กเป็นทหาร อยากให้เด็กเป็นครู
อยากให้เด็กเป็นนู่นเป็นนี่แต่ไม่เคยถามเด็กเลยว่าเด็กอยากเป็นอะไร
พยายามมองให้เห็นว่าเด็กถนัดเรื่องใดแล้วสนับสนุนเขาในเรื่องนั้น ทุกวันนี้เด็กๆ ถูกคาดหวังให้เก่งวิชาการเหมือนกันหมด
นอกจากจะต้องไปโรงเรียนจันทร์ถึงศุกร์แล้ว เสาร์อาทิตย์ยังต้องไปเรียนกวดวิชาอีก
เด็กไม่มีวันหยุดแล้วสุขภาพจิตจะดีได้อย่างไร
สังคมเรากำลังทำร้ายเด็กด้วยการพยายามสร้างเด็กให้เก่ง
แต่เด็กที่มีความสุขกำลังมีจำนวนน้อยลง
เด็กนอกกระแสถูกลืม
ถึงวันเด็กคราวใดเชื่อว่ามีเด็กนอกกระแสถูกมองข้ามความสำคัญลงไปอย่างแน่นอน
เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กไร้บ้าน เด็กแว๊น เด็กในสถานพินิจ
เด็กเหล่านี้แต่เดิมเขาก็เป็นเด็กมีบ้านเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่เนื่องจากในบ้านขาดความรักความอบอุ่น
ทำให้พวกเขาต้องออกมาแสวงหาความรักความอบอุ่นนอกบ้าน แสวงหาเอาจากเพื่อนที่มีความสนใจ
มีความต้องการ มีความรู้สึกเดียวกัน ก่อนที่เด็กๆ
ของเราจะเดินออกจากบ้านไปไม่กลับมาเราควรมอบความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจให้พวกเขา
ปรับความเข้าใจกันก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นภาระที่ซับซ้อนของสังคม
เอาใจใส่เด็กพิเศษที่แตกต่าง
เด็กพิการ
เด็กออทิสติค หรือเด็กที่ต้องการแสดงออกทางบุคลิกภาพแบบข้ามเพศ เช่น เด็กกะเทย
เด็กทอม ผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่พวกเขาเป็นพิเศษ
เด็กที่มีความพิเศษเหล่านี้ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเกิดมาแตกต่าง มีแต่จะต้องเตรียมพร้อมกับการยอมรับ
เตรียมพร้อมสติปัญญากับการเผชิญหน้าสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ดูแลสนับสนุนให้ความรักความเอาใจใส่ความเข้าใจแก่พวกเขา
อย่ามัวแต่คิดว่าเป็นกรรมหรือสิ้นหวัง แต่ควรมีมุมมองที่ก้าวไปข้างหน้าว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นบททดสอบสติปัญญาของเราที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อที่ทั้งเราและเด็กที่เกิดมาจะสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ด้วยตนเองอย่างภาคภูมิใจ
อย่าลืมมอบ "วินัย" ให้เด็ก
ทุกวันนี้เครื่องมือเทคโนโลยีหาก็ง่ายใช้ก็คล่องมีตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ
คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต ไอโฟน ไอแพ็ด ผู้ใหญ่มักมอบอุปกรณ์เหล่านี้ให้เด็กๆ
ไว้ใช้แต่ลืมมอบ "วินัย" ให้กับเด็กไปใช้ด้วย
ปัญหาเด็กติดเกมไม่ได้เกิดจากเด็กฝ่ายเดียวแต่เกิดจากผู้ใหญ่ลืมสร้างวินัยให้เด็ก
ก่อนมอบเครื่องมือเหล่านี้ให้เด็กใช้ควรมีข้อตกลงร่วมกับเด็กอย่างชัดเจนว่าในหนึ่งวันเด็กสามารถเล่นเวลาไหนได้บ้าง
ต้องเข้านอนกี่โมง ตื่นกี่โมง ต้องทำงานบ้านอะไรเป็นหน้าที่หลัก
หากมีการละเมิดข้อตกลงต้องถูกงดค่าขนมหรือต้องทำอะไรทดแทน ปัญหาเด็กติดเกมเวลานี้เกิดขึ้นทุกบ้าน
เป็นเพราะเราขาดข้อตกลงเรื่องวินัยของชีวิตร่วมกับเด็ก หากผู้ใหญ่สร้างวินัยข้อนี้ให้กับเด็กได้ปัญหาเรื่องเด็กติดเกมก็จะหมดไป
วันเด็กกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
ผู้เขียนหวังว่าเราคงใช้โอกาสนี้ในการสร้างสรรค์พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา หยุดใช้ความรุนแรงกับเด็กแล้วปฏิบัติกับเขาด้วยความเมตตากรุณา เมื่อนั้นบ้านจะกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นน่าอยู่
ไม่เกิดปัญหาเด็กติดเกมหรือเด็กหนีออกจากบ้านอีกต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น