พระชาย วรธัมโม คมชัดลึก อาทิตย์ 3 กุมภาพันธ์ 2556
อาจารย์คนแรกที่สอนผู้เขียนให้รู้จักสติเป็นพระธรรมดาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร
ท่านชื่อพระอาจารย์มหาดี ติสสเทโว
ตอนที่ผู้เขียนบวชได้สองเดือนอาจารย์ดีได้ย้ายมาสอนบาลีในวัดที่ผู้เขียนบวชอยู่
วันที่อาจารย์ย้ายมาช่วงนั้นผู้เขียนไปธุระที่อื่น พอกลับมาถึงวัด
พี่สาวซึ่งบวชเป็นแม่ชีบอกกับผู้เขียนว่าพระอาจารย์สอนบาลีที่ย้ายมาใหม่บอกว่าผู้เขียนจิตใจเหม่อลอยไม่ค่อยมีสติ
มีอาการน่าเป็นห่วง ท่านฝากบอกมาว่าหากมีเวลาว่างให้ไปพบท่านด้วย
เมื่อกลับมาถึงวัดผู้เขียนจึงหาเวลาไปสนทนาธรรมกับท่านที่กุฏิ
ผู้เขียนพบว่าท่านเป็นพระที่มีอัธยาศัยดีถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็เหมือนกับเรารู้จักกันมานาน
ท่านรู้ว่าผู้เขียนไม่มีสติตั้งแต่ยังไม่รู้จักหน้าค่ากันด้วยซ้ำ
เมื่อสนทนากันผู้เขียนจึงได้โอกาสถามท่านว่าแล้วความมีสติคืออะไร
ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีสติ อาจารย์ดีตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ทำอะไรก็ให้รู้ลมหายใจเข้า-รู้ลมหายใจออกแค่นั้นก็พอ"
ผู้เขียนได้ฟังแค่นั้นก็เข้าใจทันทีว่าอาจารย์ดีหมายความว่าให้เรามีการระลึกรู้ตัวตลอดเวลานั่นเองโดยใช้
"ลมหายใจ"
เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนให้ตัวเรามีสติรู้ตัวต่อเนื่องตลอดเวลา
พระอาจารย์ดี ติสสเทโว นิกายเถรวาท
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผู้เขียนก็เฝ้าปฏิบัติตนให้มีการระลึกรู้ตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะนั่ง
นอน ยืน เดิน ซักผ้า เข้าห้องน้ำ สรงน้ำ เดินไปนู่นมานี่
และรู้สึกสนุกที่ตัวเองได้เฝ้าระวังจับจ้องตัวเองให้มีสติตื่นรู้อยู่ตลอดเวลามิได้ขาดจนอาจารย์ดีต้องมาเตือนว่า
"ท่านตั้งใจมากเกินไปแล้ว พอสติหายไปท่านก็พยายามจับจ้องให้มีมันอยู่ตลอดเวลา
ไม่ต้องการให้มันหายไปไหน"
ผู้เขียนได้ฟังแค่นั้นก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองกำลังปฏิบัติผิด เมื่อไรที่
"การระลึกรู้"
หายไปเราก็เฝ้ากำหนดจับจ้องให้มันคงอยู่กับเราไม่ให้คลาดสายตาไปไหน
พอสติหายไปเราก็ผิดหวังจนรู้สึกเกร็งไม่เป็นไปตามธรรมชาติเพราะพยายามจับจ้องให้มันคงอยู่กับเราไปนานๆ
ซึ่งแท้จริงแล้วสติหรือการระลึกรู้ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาสามารถสูญหายลืมเลือนไปได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
การพยายามจับจ้องและเฝ้าระวังไม่ให้สติหายไปจึงเป็นเรื่องผิดปกติและเป็นการปฏิบัติที่ตึงเกินไป
อาจารย์ดีจึงแนะนำว่า "ท่านไม่ต้องเฝ้าจับจ้องจนมากเกินไปขนาดนั้น เมื่อไรที่สติหรือการระลึกรู้หายไปก็กำหนดให้เกิดขึ้นมาใหม่แค่นั้นเอง" เมื่อนั้นผู้เขียนจึงเข้าใจวิธีการเจริญสติมากขึ้นว่าเราไม่ต้องคาดหวังให้มันอยู่กับเราไปตลอดหรือหมกมุ่นกับมันมากจนเกินไป ถ้ามันหายไปก็กำหนดมันขึ้นมาใหม่แค่นั้นเอง
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้เขียนได้รู้จักกับคำว่า
'สติ'
เพราะเท่าที่ผ่านมาเรารู้จักคำว่าสติแต่ไม่เคยรู้เลยว่าสติคือ
"ความระลึกได้"
แค่เราระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรในปัจจุบันก็คือสติอย่างแท้จริง
ผู้เขียนโชคดีที่ได้รู้จักกับครูบาอาจารย์ที่มีเมตตาช่วยแนะนำการเจริญสติให้หลังจากที่บวชได้ไม่นาน
ทำให้ทราบแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเจริญสติ
โดยปกติผู้เขียนเป็นคนชอบฝันกลางวันปล่อยให้ความคิดล่องลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดความฟุ้งซ่านฟุ้งกระจายนั้นได้อย่างไร
บังเอิญอาจารย์ดีเป็นพระที่รู้ใจ รู้ว่าจะสอนผู้เขียนให้มีสติและรู้ว่าจะแนะนำผู้เขียนให้ปฏิบัติอยู่ในทางสายกลางได้อย่างไร
หากอาจารย์ดีไม่แนะนำผู้เขียนก็คงตั้งใจที่จะมีสติมากจนเกินไปและไม่รู้ว่าจะหลุดออกจากการยึดติดในสตินั้นได้อย่างไร
วิธีการสอนให้เจริญสติของอาจารย์ดีก็ง่ายๆ เพียงเริ่มต้นให้มีสติกับลมหายใจเข้าออก
เมื่อทำได้เราก็จะระลึกได้ถึงการมีสติกับกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
อาจารย์ดียังแนะนำเพิ่มเติมว่าขณะสวดมนต์ก็ให้สติอยู่กับลิ้นหรือริมฝีปาก
แต่ละวันที่ผ่านไปก็พยายามอย่าให้จิตคิดถึงเรื่องที่ไกลจากตัวเราเกินกว่าหนึ่งเมตร
นั่นเป็นคำสอนของอาจารย์ดีที่ผู้เขียนยังจำได้
ท่านอยู่วัดเดียวกับผู้เขียนเพียงแค่ปีเดียวเมื่อท่านย้ายไปเราก็ไม่เคยพบท่านอีกเลย
๓
ปีต่อมาผู้เขียนได้พบกับลามะในสายวัชรยานท่านหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านชื่อสมันตา
ท่านบวชมาจากเนปาลเป็นนิกาย 'เกรุกปะ' หรือนิกายหมวกเหลือง
ย้อนหลังกลับไปประมาณ ๒๐ ปีที่แล้วคนไทยยังรู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานกันน้อย
แม้ปัจจุบันพุทธศาสนานิกายวัชรยานก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก
การได้สนทนาธรรมกับท่านสมันตาเป็นการเปิดโลกทัศน์ทำให้ผู้เขียนรู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานมากขึ้น
พุทธศาสนานิกายวัชรยานมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยในประเทศทิเบต นิกายนี้มีความเชื่อว่าลามะคือพระโพธิสัตว์ที่กลับชาติมาเกิดเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
ทุกวันนี้ประเทศทิเบตถูกจีนยึดครองทำให้ชาวทิเบตและลามะจำนวนมากต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
ดาไลลามะผู้นำทิเบตยังต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย
ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาแบบทิเบตจึงกระจายออกไปเจริญเติบโตนอกประเทศทิเบต
คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจพุทธศาสนาแบบทิเบตและเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นชาวพุทธหลังจากได้ปฏิบัติภาวนากับลามะที่เข้าไปเผยแผ่พุทธศาสนาในอเมริกา
คนอเมริกันจึงรู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานมากกว่านิกายอื่นๆ
ท่านสมันตา
นิกายวัชรยาน
ผู้เขียนมีโอกาสถามท่านสมันตาว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมของท่านเป็นอย่างไร
ท่านตอบว่าแนวทางการปฏิบัติของท่านคือการเจริญสติ
รู้สึกตัวตลอดเวลาหรือบางครั้งก็กำหนดให้จิตอยู่กับจิต
ไม่ให้จิตฟุ้งซ่านไปไหน
นั่นเป็นครั้งที่สองที่ผู้เขียนมีโอกาสพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนการปฏิบัติในแนวทางการเจริญสติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่มาจากนิกายวัชรยานซึ่งเป็นนิกายที่มาจากเทือกเขาหิมาลัยอันแสนไกล
ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจถึงแม้เราจะมาจากคนละนิกายที่อยู่ห่างไกลกันแต่เราก็มีแนวทางการปฏิบัติแบบเดียวกันคือ
"การเจริญสติ"
ราวปี ๒๕๔๗
หรือประมาณสิบปีถัดมาคณะสงฆ์จากหมู่บ้านพลัมซึ่งเป็นสายของท่านติชนัทฮันห์เป็นพุทธศาสนาสายมหายานจากประเทศเวียดนามที่ไปเจริญเติบโตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสได้เดินทางมาจัดงานภาวนาในเมืองไทยนำโดยภิกษุณีนิรามิสา
งานภาวนาครั้งนั้นจัดที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วมภาวนาครั้งนั้นด้วย
รู้สึกประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่าวิถีการปฏิบัติของหมู่บ้านพลัมใช้การเจริญสติที่ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือระลึกรู้ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่อาจารย์ดีเคยสอนผู้เขียนเมื่อหลายปีก่อน
พร้อมกับรู้สึกทึ่งเมื่อค้นพบว่าพุทธศาสนาทั้ง ๓ นิกาย คือ เถรวาท มหายาน
และวัชรยาน ต่างมีวิถีการปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน คือ
การมีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบัน
ภิกษุณีนิรามิสา
นิกายมหายาน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือพุทธศาสนาได้ผ่านการเดินทางมาแล้วกว่า
๒,๕๐๐ ปี มีการแตกออกเป็นนิกายใหญ่ๆ ๓ นิกาย คือ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน
แต่ละนิกายได้เดินทางแผ่กระจายไปตามจุดต่างๆ ของโลก
แทรกซึมอยู่ในดินแดนที่แตกต่างกันทั้งภาษา วัฒนธรรม ประเพณี
มีชื่อเรียกนิกายที่ไม่เหมือนกัน เมื่อดูจากภายนอกเราแตกต่างกันมาก
ถึงแม้เราจะดูแตกต่างกันอย่างไร
การปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เรามีความเหมือนกันทั้งสามนิกายก็คือ "การมีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบัน" นั่นเอง.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น