คมชัดลึก วันพระ เสาร์ 12 ตุลาคม 2556
การที่เราจะกินเนื้อสัตว์ได้โดยไม่บาปมีอยู่
๒ วิธีคือ
ปล่อยให้มันสิ้นอายุขัยไปเองหรือสัตว์นั้นตายโดยอุบัติเหตุ
แต่ความจริงก็คือไม่มีใครรอให้สัตว์ตายเองด้วย
๒ วิธีแบบนั้น
มีวิธีเดียวที่เราปฏิบัติกันคือจัดการฆ่าทันทีแล้วนำศพมันมาปรุงอาหารซึ่งเป็นการละเมิดศีลข้อปาณาติบาตเรื่องการทำชีวิตผู้อื่นให้ตกร่วง
แนวคิดเรื่องการกินเจจึงมีที่มาจากความเมตตากรุณาต่อสัตว์อันเป็นแนวทางของพุทธศาสนาสายมหายาน
กินเจไม่ใช่แค่กินเจเฉยๆ
คำว่า
“เจ” ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาสายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า
‘อุโบสถ’ ของเถรวาท คือการถือศีล
๘ รักษากายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์
แต่การถือศีล ๘
ของมหายานเป็นการกินเจด้วยจึงมีคำเรียกติดปากว่า
“ถือศีลกินเจ” ครั้นจะให้คนหันมาถือศีล
๘ กินเจแล้วยังอดอาหารเย็นด้วยคงเป็นไปได้ยาก
จึงมีการประยุกต์ใหม่เป็นการเชิญชวนให้คนหันมาหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ในเทศกาลกินเจเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล
7
พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก
2
พระองค์
รวมเป็น ๙ พระองค์ กำหนดให้มีการกินเจ
๙ วันในเดือน ๙ เรียกว่า
‘เก๊าอ่วงเจ’
ที่โรงเจมีการทำอาหารเจให้ประชาชนได้กินฟรี
๓ มื้อ
คนที่สมาทานกินเจก็ให้นุ่งขาวห่มขาว
๑ วันเพื่อไปไหว้ ‘ฮุดโจ้ว’
ฮุดแปลว่าพระ
โจ้วแปลว่าปู่
ฮุดโจ้วจึงหมายถึงผู้สำเร็จมรรคผลหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์นั่นเอง ใครไม่ว่างไปไหว้ฮุดโจ้วหรือไม่แต่งชุดขาวก็ไม่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด แต่ที่สำคัญระหว่างกินเจ ๙ วันให้รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์หรือถือศีล ๕ ให้เคร่งครัด นี่คือความหมายของเทศกาลกินเจไม่ใช่แค่กินเจเฉยๆ
ฮุดแปลว่าพระ
โจ้วแปลว่าปู่
ฮุดโจ้วจึงหมายถึงผู้สำเร็จมรรคผลหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์นั่นเอง ใครไม่ว่างไปไหว้ฮุดโจ้วหรือไม่แต่งชุดขาวก็ไม่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด แต่ที่สำคัญระหว่างกินเจ ๙ วันให้รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์หรือถือศีล ๕ ให้เคร่งครัด นี่คือความหมายของเทศกาลกินเจไม่ใช่แค่กินเจเฉยๆ
เจเกี่ยวข้องกับเต๋า
ประเพณีการกินเจของชาวจีนนอกจากจะมีที่มาจากพุทธศาสนาสายมหายานแล้ว
ยังได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋าอีกด้วย
เต๋าสอนการดำเนินชีวิตที่สอดรับกับธรรมชาติ
ผู้ให้กำเนิดเต๋าคือ เล่าจื๊อ
เกิดเมื่อ ๖๑ ปีก่อนพุทธศักราช
คัมภีร์ของเต๋ามีชื่อเรียกว่า
เต๋าเต็กเก็ง
เต๋าแปลว่าทาง เต็กแปลว่าคุณธรรมความดี
เก็งแปลว่าพระสูตร
รวมความเต๋าเต็กเก็งแปลว่าคัมภีร์แห่งคุณธรรม
เต๋าคือหลักการดำเนินชีวิตที่ถือเอาธรรมชาติเป็นใหญ่
เต๋าไม่นับถือเทพเจ้า
เทพเจ้าใดๆ ไม่อาจมีอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์
มนุษย์ควรดำเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
คนทำดีหรือเลวธรรมชาติจะให้คุณและโทษเอง
การเชื่อในธรรมชาติและเชื่อในกฎแห่งการกระทำทำให้เต๋ามีลักษณะคล้ายพุทธศาสนา
มีผู้เปรียบเปรยว่าเล่าจื๊อคือปัจเจกพุทธะ
รู้แต่สอนใครไม่ได้
คำสอนเต๋าจึงไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนาแต่เป็นแค่หลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่มีคำสอนคล้ายพุทธ
สัญลักษณ์ของเต๋าคือหยินหยางบ่งบอกถึงความสมดุล
ด้วยแนวคิดที่ถือเอาธรรมชาติและการกระทำเป็นใหญ่
เต๋าจึงมีแนวคิดเรื่องการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์
เต๋าสอนเรื่องการกินเจ
โรงเจมักมีเครื่องหมายหยินหยางประดับอยู่
ไม่ต้องสงสัยว่าคำสอนของเต๋าได้แทรกซึมอยู่ในโรงเจด้วย
ในโรงเจจึงมีทั้งแนวคำสอนของพุทธแบบมหายานและเต๋าผสมกัน
พระเทวทัต
การปรากฏแนวคิดงดเนื้อสัตว์ในคัมภีร์เถรวาท
ในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทมีเรื่องราวที่พูดถึงการงดเนื้อสัตว์เช่นกัน
เมื่อพระเทวทัตซึ่งเป็นญาติของพระพุทธเจ้าทูลขอให้พระพุทธองค์บัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์
ใครฉันเป็นอาบัติ แต่พระองค์ปฏิเสธ
พระองค์มองว่าการปฏิบัติของภิกษุควรเป็นทางสายกลางมีชีวิตเป็นไปด้วยความเลี้ยงง่าย
ชีวิตของภิกษุขึ้นอยู่กับชาวบ้าน
ชาวบ้านกินอะไรภิกษุก็ควรฉันเช่นนั้น
แล้วตรัสถึงเนื้อที่ภิกษุไม่ควรบริโภคคือเนื้อที่ภิกษุได้เห็นได้ยินว่าเนื้อที่เขานำมาถวายนี้เขาฆ่าเพื่อภิกษุโดยเฉพาะ
หรือเพียงแต่สงสัยว่าเนื้อนี้เขาฆ่าเพื่อถวายภิกษุก็ถือว่าเนื้อนี้ห้ามฉัน
ส่วนเนื้อที่ภิกษุฉันได้คือเนื้อที่ภิกษุไม่ได้เห็นไม่ได้ยินไม่ได้สงสัยหากอยู่ในเงื่อนไขนี้ถือว่าฉันได้
อีกเหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ในชมพูทวีปบริโภคแป้งกับถั่วกันอยู่แล้วพระองค์จึงไม่ทรงกำหนดสิกขาบทข้อนี้ตามข้อเสนอของพระเทวทัต
‘ลังกาวตารสูตร’
ต้นกำเนิดของมหายานไม่กินเนื้อสัตว์
คัมภีร์ลังกาวตารสูตรเป็นพระสูตรของพุทธศาสนาสายมหายาน
นิกายโยคาจาร
คัมภีร์นี้กล่าวกันว่าเป็นรากฐานของพุทธศาสนานิกายเซ็น
คัมภีร์นี้มีการรวบรวมขึ้นในช่วง
พ.ศ.
๙๐๐-๑๒๐๐
ประกอบไปด้วย ๙ บท บทที่ ๘
เป็นบทที่กล่าวถึงคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าภิกษุไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ใดๆ
เพราะเหตุว่าสังสารวัฏนี้ไม่มีสัตว์ตนใดไม่เคยเป็นญาติกับเรามาก่อน
แล้วตรัสถึงโทษของการฉันเนื้อสัตว์ว่าเนื้อสัตว์มีกลิ่นเหม็นทำให้ผู้บริโภคเนื้อสัตว์เป็นที่หวาดระแวงของหมู่สัตว์
เมื่อไปยังที่ใดสัตว์เหล่านั้นจะหวาดกลัววิ่งหนีเพราะประสาทสัมผัสของสัตว์เหล่านั้นได้กลิ่นคาวจากผู้บริโภคเนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์เกิดจากน้ำอสุจิและเลือดภิกษุไม่ควรบริโภค
ผู้บริโภคเนื้อสัตว์มักนอนหลับไม่สบายมีจิตกระสับกระส่าย
ร่างกายก็เป็นที่สะสมของโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นผู้นำทุกข์มาสู่ตน
แล้วตรัสถึงรายชื่ออาหารที่สาวกควรฉัน
มี ข้าวสาลี ถั่วราชมาสและถั่วต่างๆ
เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม
น้ำตาล น้ำอ้อย
เหล่านี้เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับพระสาวก
อย่างไรก็ตามคัมภีร์ลังกาวตารสูตรมิได้กล่าวถึงผักต้องห้ามทั้ง
๕ ประเภทและยังอนุญาตผลิตภัณฑ์จากสัตว์เช่น
เนยใส น้ำผึ้ง
สันนิษฐานว่าการห้ามผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผักต้องห้ามทั้ง
๕ น่าจะถูกเพิ่มเข้าไปหลังจากที่พุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศจีน
โดยเข้าไปผสมกับลัทธิเต๋าซึ่งเป็นลัทธิที่เผยแพร่การกินเจอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ลัทธิเต๋ามีความเชื่อเรื่องพลังธรรมชาติย่อมมีความเชื่อเกี่ยวกับพลังด้านลบของผักต้องห้ามและผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ในที่สุดเมื่อพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีนจึงรวมการห้ามกินผัก
๕
ประเภทรวมทั้งห้ามผลิตภัณฑ์จากสัตว์เข้าไปด้วยทำให้การงดเนื้อสัตว์ของพุทธศาสนามหายานกลายเป็นการกินเจไปในที่สุด
การกินเจมีจุดเริ่มต้นมาจากแป้งกับถั่วของชาวฮินดูในดินแดนชมพูทวีป
ต่อมาพัฒนาเป็นคำสอนเรื่องการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ผ่านคัมภีร์ลังกาวตารสูตรของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
แล้วเดินทางข้ามภูเขาเข้าไปในจีนผสมผสานกับลัทธิเต๋าของเล่าจื้อ
จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการกินเจในที่สุด
เทศกาลกินเจปีนี้ขอให้เรากินเจอย่างเข้าใจที่มาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและความเชื่อซึ่งเดินทางมายาวไกลหลายหมื่นลี้
และอย่าลืมรักษากายวาจาใจของท่านให้บริสุทธิ์.
.