วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"บูโต" เริงระบำวิปัสสนา





ภาพ/ Dusa Gabor และ  Butoh Bangkok at Thong Lor Art Space
คมชัดลึก วันพระ อาทิตย์ 24 สิงหาคม 2557.
Email : shine6819 [@] gmail.com







            บางครั้งการชมมหรสพอาจไม่ได้นำคนดูไปสู่ความสนุกสนานมัวเมาแต่เพียงด้านเดียวแต่อาจนำไปสู่การเข้าถึงความของจริงของชีวิตได้ด้วย เหมือนอย่างที่อุปติสสะและโกลิตะสองสหายชักชวนกันไปชมมหรสพในค่ำคืนหนึ่ง แต่ค่ำคืนนั้นสองสหายไม่ได้รู้สึกสนุกสนานเหมือนอย่างเคย หากแต่เขาทั้งสองเกิดการตระหนักรู้ภายในขึ้นมาว่าตัวละครที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีนั้นมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย เขาสองคนจะมาหลงดูอยู่ทำไมควรออกแสวงหาโมกขธรรมอันประเสริฐเพื่อความหลุดพ้นจะดีกว่า ด้วยธรรมสังเวชที่เกิดขึ้นทำให้เพื่อนรักทั้งสองตัดสินใจชวนกันออกบวชเพื่อหาหนทางพ้นทุกข์จนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อุปติสสะก็คือพระสารีบุตร ส่วนโกลิตะก็คือพระโมคคัลลานะ




            เมื่อการชมมหรสพพาคนดูไปสู่การเข้าถึงความจริงของชีวิตดังตัวอย่างที่เคยมีมาในสมัยพุทธกาล โซโนโกะ พราว จึงมีมุมมองว่ามหรสพที่ดีไม่น่าจะให้ความสนุกสนานบันเทิงแต่เพียงด้านเดียว มหรสพที่ดีควรทำคนดูให้ตื่นรู้และสามารถเข้าถึงความจริงของชีวิตได้ด้วย โซโนโกะเป็นนักแสดงละครสาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่สนใจการปฏิบัติธรรมมานานหลายปีแล้ว เธอเคยเข้าคอร์สวิปัสสนาของท่านโคเอ็นก้าอย่างน้อย ๓ ครั้ง เคยปฏิบัติภาวนากับหมู่บ้านพลัม เคยใช้ชีวิตเป็นสามเณรีอยู่ ๓ เดือน ด้วยชีวิตที่ผ่านการภาวนามานานเธอมองเห็นว่าวิปัสสนาสามารถนำมาใช้กับการแสดงละครได้ด้วยและเธอเชื่อว่าคนดูสามารถตื่นรู้ได้จากการชมละคร เธอกับเพื่อนสนิทชาวฮังการี ริต้า บาทาริต้า และกลุ่มศิลปะขันธาจึงร่วมกันจัดแสดง “ระบำวิปัสสนา” ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพาคนดูให้เข้าถึงความจริงของชีวิต

            ค่ำคืนหนึ่งในต้นเดือนสิงหาคมการแสดงของเธอกับเพื่อนจึงเกิดขึ้น  ณ ห้องแสดงละครทองหล่ออาร์ตสเปซ เป็นโรงละครขนาดเล็กจุคนดูได้ ๕๐ คน คนดูจึงมีโอกาสชมการแสดงอย่างใกล้ชิด การแสดงแบ่งออกเป็น ๓ องค์



                                                                    (ริต้า บาทาริต้า)

องก์ที่หนึ่ง การแสดงเดี่ยวโดย ริต้า บาทาริต้า เธอออกมาบนเวทีพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้าราวกับอยู่ในห้วงอวกาศ แสงไฟสาดส่องไปบนเรือนร่างของเธอ มีเงาทาบลงบนฝาผนังด้านหลัง เป็นการแสดงที่เล่นกับแสงเงา ดนตรีพาเข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งความฉงนฉงาย บางครั้งเธอเปล่งเสียงร้องอย่างไม่เป็นภาษาราวกับเธอเป็นผู้มีอำนาจ สักพักต่อมาเธอดูอ่อนละโหยไปกับพลังอำนาจที่มากล้นเกินประมาณ ความมัวเมาในอำนาจพาเธอไปสู่ความพ่ายแพ้แก่ตนเอง เธอกำลังแสดงให้เห็นภาวะโลภโกรธหลงไปกับอำนาจที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ในที่สุดเธอค้นพบว่าวิธีเดียวที่จะทำตัวให้บริสุทธิ์คือการชำระกายใจให้สะอาด เธอจบการแสดงด้วยท่าบิดตัวโยกพริ้วไหวโอนเอนไปตามเสียงดนตรี


                                               (การแสดงของ "กลุ่มศิลปะขันธา" )

            องก์ที่สอง การแสดงโดยกลุ่มศิลปะขันธา การแสดงเริ่มต้นด้วยเสียงสวดมนต์ท่ามกลางความมืดมิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด...”  เสียงสวดค่อย ๆ หายไป สุภาพสตรีถือโคมเทียนเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนหายลับไปในความมืด นักแสดง ๕ คนคอยอยู่บนพื้นเวที พวกเขาใช้ร่างกายแสดงออกให้เห็นถึงความน่ากลัวของสังสารวัฏฏ์ผ่านการบิดตัวเกลือกกลิ้งไปบนพื้นราวกับอสุรกาย เป็นการใช้ร่างกายที่ผสมผสานกับท่าโยคะทำให้เกิดลักษณะร่างกายที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาดราวกับเป็นร่างกายของปีศาจ แท้จริงแล้วร่างกายมนุษย์ที่เรามีอยู่เป็นอยู่ก็คืออสุรกายที่คอยกลืนกินมนุษย์ในเวลาเดียวกัน มันคือความตายที่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีใครตระหนักรู้ แต่ไม่ว่าสังสารวัฏฏ์จะมีความน่ากลัวสักปานใด มนุษย์นั่นเองที่จะต้องเป็นฝ่ายเอาชนะอสุรกายที่สิงสถิตอยู่ภายในร่างกายนี้ให้ได้ด้วยการเพ่งดูกิเลสตนเองผ่านการทำสมาธิวิปัสสนา เมื่อมนุษย์หมั่นฝึกฝนทำความเพียรก็จะสามารถเข้าถึงความหลุดพ้นได้ในบัดดล



                                                             (โซโนโกะ พราว)


          องก์สุดท้าย เป็นการแสดงเดี่ยวโดย โซโนโกะ เธออยู่ในชุดสีดำลึกลับ เธอกำลังแสดงออกถึงภาวะทุกข์ที่มีอยู่ของมนุษย์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เธอเห่กล่อมลูก เธอพูดถึง “นิพพาน” เธอเต้นท่าทางที่เย้าย้วยไปมาดูไม่เป็นจังหวะ เธอบอกกับคนดูว่าเธอรู้สึกอย่างไรผ่านลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย เธอพูดถึงชื่ออาหารฟาสฟู้ดบางอย่างที่เธอหลงใหล เหมือนเธอกำลังบอกกับคนดูว่ามันคือบริโภคนิยมที่ครอบงำชีวิตมนุษย์ การแสดงจบลง นักแสดงทั้งหมดออกมาโค้งคำนับ คนดูปรบมือให้กับนักแสดง 






  ทั้งหมดเป็นการแสดงประมาณ ๑ ชั่วโมงที่เรียกว่า 
 “บูโต” บูโตเป็นศิลปะการแสดงที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นการแสดงที่เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายและการแสดงอารมณ์ทางใบหน้า บางครั้งนักแสดงซ่อนใบหน้าของพวกเขาไว้ภายใต้แป้งสีขาวเพื่อเป็นการง่ายต่อการสะกดอารมณ์คนดู นักแสดงอาจแสดงสีหน้าตกใจสุดขีดหรือสลดหดหู่ราวกับจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด มีคนกล่าวว่าเพราะบูโตเป็นศิลปะการแสดงที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อันเป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังทนทุกข์ทรมานไปกับการแพ้สงครามอย่างยับเยิน ละครบูโตจึงออกมาในลักษณะอึมครึมเศร้าโศก แต่นั่นเป็นเพียงความหมายหนึ่งเท่านั้น
 

            “ณ เวลานั้นประเทศญี่ปุ่นกำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม มีแต่ความทุกข์กระจายไปทุกหย่อมหญ้าทำให้นักแสดงละครหันมาตั้งคำถามกับตนเองว่า ตัวเราในฐานะนักแสดงคือใครกันแน่ และชีวิตคืออะไร พวกเขาจึงย้อนกลับไปฟังเสียงของร่างกาย ร่างกายซึ่งประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นธาตุตามธรรมชาติ พื้นฐานดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นเป็นชาวนานับถือศาสนาชินโตอันเป็นศาสนาที่ให้ความเคารพนับถือธรรมชาติ เมื่อย้อนกลับไปหาธรรมชาติในตัวเรา ตัวเรานั้นไร้ตัวตน การแสดงจึงควรปราศจากตัวตน ไม่มีความเป็น “ตัวฉัน” ที่อยากแสดง เป็นการแสดงที่ฟังเสียงจากภายใน มีเพียงอารมณ์ปัจจุบัน ณ ปัจจุบันอารมณ์เป็นเช่นไรก็แสดงอารมณ์นั้นออกมา อาจไม่สวยงาม ไม่ถูกใจคนดู แต่มันก็คือการแสดงที่ออกมาจากความจริงที่ปรากฏอยู่ภายใน นักแสดงไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างหน้าตาดี ไม่จำเป็นต้องเต้นรำสวยงามตามแบบมาตรฐานสากลเพราะนั่นคือการประดิดประดอย มันไม่ธรรมชาติ เรารู้สึกอย่างไรก็แสดงออกไปเช่นนั้น เป็นการเต้นรำที่ไร้รูปแบบ นักแสดงอาจทำหน้าตาหน้าเกลียด มีท่าเต้นที่ไม่น่าดู แต่นี่ก็คือภาวะไร้การเสแสร้งในแบบบูโต” โซโนโกะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายของละครบูโตให้เราฟัง 





“การที่ละครบูโตแสดงอารมณ์ความรู้สึกหวาดกลัวหรือแสดงหน้าตาที่บ่งบอกถึงความทุกข์ความเศร้าใจออกมาเพราะมันเป็นการแสดงที่มาจากจิตใต้สำนึก เมื่อพูดถึงจิตใต้สำนึกแล้วทุกคนมีความคล้ายคลึงกันหมดคือมีความทุกข์ที่สั่งสมอยู่ภายใน” โซโนโกะกล่าวเสริม ในเมื่อมันคือการแสดงออกของความทุกข์ที่ถูกสั่งสมอยู่ใต้จิตใต้สำนึกเราอาจเรียกละครบูโตได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ระบำวิปัสสนา” หรือ “การเต้นรำที่มาจากความจริงแท้ภายใน” เพราะละครกำลังเผยให้คนดูเห็นอริยสัจข้อที่หนึ่งคือความทุกข์ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน 

การแสดงบูโตทั้งสามรอบของเธอจึงไม่เหมือนกันเลย นี่อาจทำให้คนดูเข้าใจยากว่าการแสดงนี้กำลังสื่ออะไร โซโนโกะเฉลยว่า “ที่จริงก็ไม่ยากเพียงดูละครโดยไม่ต้องคิดมาก แค่ตามอารมณ์ไปกับนักแสดงว่านักแสดงกำลังแสดงอารมณ์อะไรออกมาแล้วร่วมค้นหาไปด้วยกัน”  

            สำหรับคนที่เคยฝึกวิปัสสนามาแล้ว การเฝ้าดูความรู้สึกตนเองว่าขณะชมละครนั้นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างไรแล้วสะท้อนการเฝ้าดูนั้นไปที่ตัวละคร ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าตัวละครมีอารมณ์ผันแปรไปไม่หยุดนิ่ง มีแต่ความเป็นอนัตตา ปราศจากความเป็นตัวตน อาจทำให้การชมบูโตมีอะไรที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น ในที่สุดแล้วด้วยวิธีการดูละครเช่นนี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกรูปแบบการแสดงที่ผ่านเข้ามายังดวงตาทั้งสองข้างของเรา นั่นอาจทำให้เราได้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่าความบันเทิงที่ฉาบทาอยู่ภายนอก และบางทีอาจทำให้เรามองเห็นความจริงของชีวิตอย่างที่อุปติสสะและโกลิตะเคยเห็นมาแล้ว.   








.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น