คมชัดลึก วันพระ อาทิตย์ 10 สิงหาคม 2557
shine6819 [@] gmail.com
“ปาดังเบซาร์” ไม่ได้เป็นหนังที่พูดถึงความตายและการพลัดพรากเป็นประเด็นหลัก
แต่เนื้อหาหลักที่หนังเรื่องนี้กำลังพูดถึงคือปมความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งภายในครอบครัวที่ประกอบไปด้วยแม่และลูกสองคน
แม่อยู่ที่ปาดังเบซาร์
ตำบลหนึ่งในจังหวัดสงขลา ป่านลูกสาวคนเล็กเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ โดยพักอาศัยอยู่กับน้าต้อยซึ่งเป็นน้องสาวแม่
ปิ่นลูกสาวคนโตทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ ความซับซ้อนของปมปัญหาภายในครอบครัวนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากลูกห่างเหินแม่ด้วยการไปใช้ชีวิตในเมือง(นอก)แล้วทิ้งแม่ให้อยู่ต่างจังหวัดเท่านั้น
แต่ปมปัญหาของครอบครัวนี้มีความเหินห่างทางใจเป็นปัจจัยหลัก ความเหินห่างทางใจได้กลายเป็นปมความขัดแย้งสามคู่ความสัมพันธ์ระหว่างป่านกับแม่
ป่านกับปิ่น และปิ่นกับแม่
ป่านกับแม่
: จริง ๆ แล้วป่านกับแม่ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรต่อกันมากนักเมื่อเทียบกับความขัดแย้งระหว่างปิ่นกับแม่
แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวป่านเองมากกว่า ป่านเป็นเด็กติดเพื่อน โดดเรียน สูบบุหรี่ โกหกผู้ใหญ่
แม่ในสายตาของป่านคือบุคคลผู้ให้เงินใช้ แม้ว่าแม่จะสู้อุตส่าห์เดินทางไกลจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมป่านถึงกรุงเทพฯ
แต่ป่านก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรนัก เธอกลับรู้สึกเบื่อที่ต้องมาเห็นแม่ร้องเพลงที่ดูเป็นตัวตลกเพราะเสียงอันเพี้ยนและผิดคีย์ของแม่
เธอจึงบอกลาแม่ด้วยการอ้างว่าต้องไปเรียนพิเศษแต่แท้จริงแล้วเธอไปเล่นตู้เกมและแอบสูบบุหรี่กับเพื่อน
วินาทีที่แม่เสียชีวิตป่านเพิ่งสำนึกได้ว่าเธอทำดีกับแม่น้อยเกินไป เธอไม่น่าโกหกแม่ว่าต้องไปเรียนพิเศษทั้ง
ๆ ที่เพิ่งเจอแม่ไม่ถึงห้านาที สิ่งที่เธอทำได้ก็คือร้องไห้สะอึกสะอื้นในห้องน้ำเพราะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่สายเกินไป
ป่านกับปิ่น :
พี่น้องคู่นี้ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานหลายปีแล้ว คนหนึ่งอยู่เมืองไทยอีกคนหนึ่งออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกจนไม่คิดจะกลับมาเมืองไทยแล้วถ้าไม่เกิดเหตุด่วนกับแม่เสียก่อน
ความห่างไกลทางกายนำมาซึ่งความเหินห่างทางจิตใจ โทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศที่ป่านน้องสาวพยายามโทรหาปิ่นพี่สาวเพื่อบอกข่าวร้ายเรื่องแม่แสดงสัญญาณอยู่นาน
แต่เพราะปิ่นยุ่งกับงานจึงไม่ได้รับสาย กว่าจะทราบข่าวว่าแม่ป่วยอยู่ในห้องไอซียูก็ต่อเมื่อเธอกลับมาถึงห้องพักแล้ว ป่านคาดหวังว่าพี่สาวจะมาดูใจแม่ทันในวินาทีสุดท้าย แต่กว่าปิ่นจะบินมาถึงกรุงเทพฯ
แม่ก็จากไปเสียแล้ว ตอนที่ปิ่นเซ็นชื่อรับศพแม่ออกจากโรงพยาบาล
ปิ่นยังทักนางพยาบาลว่านี่ไม่ใช่ชื่อแม่ ปิ่นไม่รู้แม้กระทั่งว่าแม่ได้เปลี่ยนชื่อไปแล้ว มันเป็นความแปลกแยกที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวไม่เฉพาะกับครอบครัวนี้เท่านั้น
ป่านยังคงมีอารมณ์ค้างที่พี่สาวไม่ยอมรับสายตอนที่ตนโทรไปหาอย่างเร่งด่วน
ด้วยเหตุนี้ป่านจึงยังคงมึนตึงไม่ยอมพูดยอมจา ด้วยความเหินห่างที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตอยู่กันคนละที่ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้แทบจะไม่หลงเหลืออะไรให้รู้สึกผูกพันกันอีกแล้ว
เรื่องราวนำไปสู่สถานการณ์ที่สองพี่น้องต้องนั่งรถยนต์คันเดียวกันเพื่อนำศพแม่กลับไปทำพิธีที่บ้านเกิดคือปาดังเบซาร์
แม้จะต้องเดินทางไปในรถคันเดียวกันแต่สองพี่น้องก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย ป่านเอาแต่ฟังเพลงผ่านหูฟังแม้ว่าปิ่นพยายามจะหาเรื่องคุย
แม้ตอนแวะพักรับประทานอาหารต่างคนต่างนั่งกินข้าวกันคนละโต๊ะราวกับไม่รู้จักกัน
ปิ่นกับแม่
: ปิ่นกับแม่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงซึ่งถูกขมวดปมไว้เป็นปริศนา ตอนที่ปิ่นมาถึงโรงพยาบาลแม่ได้หมดลมหายใจไปแล้ว
ปิ่นไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดให้เห็น ผิดกับน้าต้อยที่ร้องไห้เสียใจอย่างสุดซึ้งตลอดทั้งเรื่อง
สะท้อนให้เห็นว่าน้าต้อยรักพี่สาวมากกว่าหลานสองคนรักแม่ตนเอง ในขณะเดียวกันความรักของน้าต้อยที่มีต่อพี่สาวก็ดูเป็นความรักฉันท์พี่น้องของคนรุ่นเก่าที่ดูจริงจังกว่าความรักฉันท์พี่น้องของปิ่นกับป่านซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่แต่หาความรักฉันท์พี่น้องแทบไม่เจอ
เมื่อรถล่องมาถึงสุราษฎร์ธานีก็มีเหตุให้ถูกด่านตำรวจกักไว้เนื่องจากศพไม่มีใบมรณะบัตรติดมาด้วย
คืนนั้นหลังจากตำรวจจดบันทึกประจำวันไว้
ปิ่นและป่านต้องฝากศพแม่ไว้ที่โรงพยาบาลและต้องพักค้างคืนในโรงแรมหนึ่งคืนรอการเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น
การต้องพักห้องเดียวกันทำให้สองคนพี่น้องมีเรื่องให้ต้องหันมาพูดจากัน ขณะเดียวกันก็ทำให้ป่านเริ่มสงสัยว่าพี่สาวของตนมีความสัมพันธ์ลับ
ๆ กับใครคนหนึ่งที่สิงคโปร์เมื่อเธอสังเกตเห็นสายโทรเข้ามือถือขณะที่พี่สาวกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ
รุ่งเช้าคนขับรถยังคงมีอาการอ่อนเพลียที่ต้องขับรถคนเดียวมาตลอดทาง
ปิ่นจึงต้องขับรถให้โดยมีป่านนั่งข้าง ๆ นั่นยิ่งทำให้สองพี่น้องมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น
กว่าพี่น้องคู่นี้จะพูดคุยกันได้ก็ผ่านไปแล้วครึ่งเรื่อง
เมื่อรถวิ่งมาถึงปาดังเบซาร์ก็เข้าสู่ย่านที่แม่คุ้นเคย
เสียงปิ่นกับป่านพูดบอกทางกับแม่สลับกันไป เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้านปิ่นกับป่านพูดพร้อมกันว่า
“แม่...ถึงบ้านเราแล้วนะ” เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพี่น้องคู่นี้กลับมามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว
การบอกทางกับคนตายไปตลอดเส้นทางของการเคลื่อนย้ายศพไปสู่ที่หมายไม่ได้แปลว่าถ้าเราไม่บอกเส้นทางกับคนตายแล้ววิญญาณจะหลงทางไปที่อื่น
คนโบราณใช้อุบายนี้อย่างมีความหมายว่านี่คือการสื่อสารครั้งสุดท้ายระหว่างคนเป็นกับคนตาย
ตอนที่มีชีวิตอยู่เราอาจจะไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับผู้ตายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกับผู้ตายเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีและเป็นการแสดงออกถึงการเอาใจใส่ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายผ่านการพูดบอกทางจนถึงที่หมาย
ดังนั้นในฉากนี้ทั้งปิ่นและป่านจึงไม่ได้สื่อสารกับแม่ด้วยวาจาเท่านั้นแต่ทั้งคู่กำลังสื่อสารด้วยความรู้สึกภายในที่ไม่เคยเปิดใจพูดกับแม่มาก่อน
ทั้งคู่จึงรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมา
เมื่อปมความขัดแย้งที่มีต่อแม่คลี่คลาย
ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องก็เริ่มดีขึ้น ป่านจึงเริ่มเข้าไปสำรวจความลับของพี่สาวที่ปิดบังมานาน
ป่านพบว่าสาเหตุที่พี่สาวหนีงานแต่งงานที่แม่จัดให้เป็นเพราะพี่สาวไม่ได้ชอบผู้ชายแต่ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดีจึงตัดปัญหาด้วยการหนีงานแต่งไปอยู่สิงคโปร์กับคนรักที่เป็นผู้หญิงโดยไม่ติดต่อทางบ้านอีกเลย
การหนีงานแต่งสร้างความเคืองใจให้กับแม่มาตลอดจนกระทั่งแม่ได้ตายจากไป คำถามที่ป่านถามพี่สาวว่า
“ทำไมไม่บอกแม่ เรื่องแค่นี้แม่ไม่ว่าหรอก” สะท้อนแง่มุมให้คนดูได้เก็บไปคิดต่อว่าสิ่งสำคัญในครอบครัวคือการเปิดใจสื่อสารถึงความรู้สึกที่แท้จริงในขณะที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
ถ้าปิ่นเปิดใจพูดกับแม่ตรง ๆ ก็คงไม่เกิดความเหินห่างจนกลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก
เช่นเดียวกันถ้าป่านแสดงความรักความใกล้ชิดกับแม่มากกว่านี้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ เธอก็คงไม่ต้องรู้สึกเสียใจที่ทำดีกับแม่น้อยเกินไป
สิ่งที่ปิ่นกับป่านปฏิบัติกับแม่ในช่วงที่ผ่านมาคงไม่ใช่แบบอย่างที่ดีนักแต่เป็นสิ่งที่หนังกำลังสื่อสารกับคนดูว่าแท้จริงแล้วสิ่งสำคัญภายในครอบครัวคือช่วงเวลาที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่
อย่าปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปจนใครคนใดคนหนึ่งต้องจากไปโดยขาดความเอาใจใส่และไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน
เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึงมันอาจสายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขอะไร ๆ ให้ดีขึ้น
สุดท้ายปิ่นกับป่านได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้กลับมาดีดังเดิม
แม้ว่าเธอทั้งคู่จะกลับไปแก้ไขอดีตที่ทำกับแม่ไว้ไม่ได้ แต่นี่คือสิ่งสุดท้ายที่พี่กับน้องจะสามารถทำให้กันได้ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น