‘นารีวงศ์’ ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม
ตอนที่ ๓ ปัจจุบันของวัตร์นารีวงศ์
พระวรธรรม เรื่อง
/ ภาพปัจจุบัน
อุสาห์ รงคสุวรรณ ภาพอดีต
คมชัดลึก วันพระ อาทิตย์ 23 กันยายน 2555
ห่างจากสะพานพระราม
๕ จังหวัดนนทบุรีไปไม่ไกลคืออดีต ‘วัตร์นารีวงศ์’ ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยของวัตร์นารีวงศ์ให้เห็นอีกแล้ว
หากถามผู้คนแถวนั้นว่า “วัตร์นารีวงศ์ไปทางไหน”
พวกเขาจะสั่นหัวและตอบว่า “ไม่รู้จัก”
บริเวณที่เคยเป็นวัตร์นารีวงศ์ปัจจุบันยังคงเป็นบ้านของนรินทร์ ภาษิต เจ้าของบ้านคนปัจจุบันคือลูกหลานผู้ไม่ต้องการเปิดเผยหน้าตาและชื่อเสียงให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณะ
เราจึงไม่สามารถเปิดเผยหน้าตาและชื่อเสียงของเจ้าของบ้านให้เป็นที่รับรู้ได้
นรินทร์
ภาษิต ได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านหลังนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้วยอายุ ๗๗ ปี นางสาระบุตรสาวได้ถึงแก่กรรมไปเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๔๑ ด้วยอายุ ๘๘ ปี ในขณะที่นางจงดีผู้น้องอยู่ในวัยชราและได้ย้ายไปอยู่กับลูกหลานที่ต่างจังหวัด
ส่วนน้องชายอีก ๓ คนของนางสาระได้ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ผู้เขียนมีโอกาสเดินสำรวจรอบๆ
บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งวัตร์นารีวงศ์ บัดนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บางส่วนเป็นกอหญ้าป่ารก
และพบว่าอดีตวัตร์นารีวงศ์แห่งนี้ยังคงหลงเหลือเศษสิ่งก่อสร้างบางอย่างให้ได้รับรู้ว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นวัดมาก่อนอย่างน้อยก็
๓ สิ่ง นั่นคือ ภูเขาจำลอง ซากโบสถ์ และศาลาท่าน้ำ
ภูเขาจำลอง
สิ่งก่อสร้างรูปทรงภูเขาขนาดเล็ก ความสูงประมาณ ๒ เมตร มีต้นไม้ปกคลุมไปทั่ว ภูเขาถูกตกแต่งด้วยไหและโอ่ง
บ่งบอกให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เคยมีอาชีพปั้นหม้อดินขาย บนภูเขามีโบสถ์ขนาดจิ๋วสร้างประดิษฐานไว้
แต่ปัจจุบันโบสถ์จิ๋วได้พังทลายลงมา
..........................................................................................................................................
* โบสถ์ขนาดเล็กบนภูเขาจำลอง ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑
บนภูเขามีโบสถ์ขนาดจิ๋วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าที่แห่งนี้เป็นพุทธสถาน
ปัจจุบันโบสถ์จิ๋วได้พังทลายลงมาในค่ำคืนที่มีพายุฝนเดือนกันยายน ๒๕๔๖
................................................................................................................
ซากผนังโบสถ์
เป็นส่วนของผนังโบสถ์ที่พังทลายลงมาจากภูเขา
เป็นศิลปะปูนปั้นรูปพระพุทธเจ้าปางป่าเลไลยก์ มีรูปช้างกับลิงนั่งหมอบอยู่เคียงข้าง
ลายปูนปั้นมีลักษณะสมบูรณ์
* โบสถ์พังลงมาคงเหลือแต่ผนังโบสถ์ เป็นศิลปะปูนปั้นรูปพระพุทธเจ้า
ปางป่าเลไลยก์ ยังคงความสมบูรณ์สวยงาม
...............................................................................................................................
ศาลาท่าน้ำ
สิ่งก่อสร้างชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น หากนั่งเรือจากท่าน้ำนนทบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ
แล้วหันหน้าไปทางนนทบุรีฝั่งตะวันตกจะแลเห็นศาลาท่าน้ำนี้ เป็นศาลาท่าน้ำสีน้ำตาลทราย ไม่มีการตกแต่งทาสีใดๆ
เป็นศาลารูปทรงโบราณที่ดูแปลกตา
* ศาลาท่าน้ำ สิ่งก่อสร้างชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดที่เหลือให้เห็นยามนั่งเรือผ่าน
เป็นศาลารูปทรงโบราณ ดูแปลกตา
...........................................................................................................................
จากการค้นคว้าพบว่าวัตร์นารีวงศ์ในอดีตประกอบไปด้วยที่พักสงฆ์รูปทรงตึกสูง
๗ ชั้น ประกอบด้วยชั้นใต้ดิน ๑ ชั้น บนดิน ๔ ชั้น, ดาดฟ้า ๑ ชั้น, หอคอย ๑ ชั้น รวมเป็น
๗ ชั้น แล้วยังมีป้อมซึ่งเป็นบันไดเวียนขึ้นไปบนยอดเสาประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ทั้งหมดมีมูลค่าอยู่ที่หลักแสนสำหรับการก่อสร้างในเวลานั้น
* ภาพถ่ายวัตร์นารีวงศ์ ริมน้ำเจ้าพระยาที่มีความสมบูรณ์ที่สุด
.................................................................................................
ในอดีต ๘๐
ปีที่แล้วใครสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงขนาดนี้ได้ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะต้องเป็นคนมีฐานะ
เรียกได้ว่าวัตร์นารีวงศ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สะดุดตาที่สุดในแถบริมน้ำเจ้าพระยา หากใครพายเรือผ่านไปมาแถวนั้นก็ต้องฉงนสนเท่ห์
เพราะสมัยก่อนยังไม่มีการสร้างตึกสูงๆ นอกเสียจากเจดีย์หรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนา
ตึกที่สูงที่สุดในเวลานั้นคือตึกที่เยาวราชมีความสูง ๙ ชั้น
น่าสังเกตว่าตึกวัตร์นารีวงศ์ที่นรินทร์สร้างมีความหมายของ
“พระรัตนตรัย” แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรมนี้
กล่าวคือ ยอดบนสุดเป็นป้อมประดิษฐาน “พระพุทธ” ชั้นสองรองลงมาเป็นหอคอยหรือหอไตรเป็นสัญลักษณ์ของ
“พระธรรม”
ในขณะที่ชั้นล่างถัดลงไปเป็นที่พักสงฆ์ หมายถึง “พระสงฆ์” นับว่านรินทร์มีหัวคิดในการสร้างมิใช่น้อย เพราะเป็นการนำความหมายของ
“พระรัตนตรัย”
มาใส่ไว้ในสิ่งก่อสร้าง น่าเสียดายที่สิ่งก่อสร้างถูกทำลายไปเสียหมด ไม่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้
เวลานั้นนรินทร์ถูกจำคุกอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช (๒๔๘๖-๒๔๘๘) ซึ่งเป็นการติดคุกครั้งสุดท้ายของเขาในช่วงปัจฉิมวัย
ประกอบกับอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒
ขณะนั้นลูกๆ ทั้ง ๕ คนของนรินทร์โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว
ลูก ๔ คนลงความเห็นว่าให้ทำลายตึกเสียเหตุผลเพราะจะเป็นจุดเด่นให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิดได้
ในขณะที่นางสาระเป็นเพียงเสียงเดียวที่ต้องการให้เก็บรักษาไว้ เมื่อเป็นเพียงเสียงเดียวสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์ความสูง
๗ ชั้นของนรินทร์จึงถูกทุบทิ้งตามเสียงข้างมาก ขณะนั้นตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒ น่าจะเป็นช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕ –
๒๔๘๘ ที่มีการทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯ เหลือเพียงภูเขาจำลอง ซากโบสถ์ และศาลาท่าน้ำ
ซึ่งเจ้าของบ้านบอกว่าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงนายนรินทร์นักต่อสู้
ผู้เขียนถามเจ้าของบ้านว่าอยากพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าที่อดีตเคยเป็นวัตร์นารีวงศ์แห่งนี้ให้เป็นอย่างไร
เจ้าของบ้านตอบว่าถ้ามีเงินมากพอก็อยากพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม เพราะตัวเธอเองสนใจการปฏิบัติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สุภาพสตรีท่านดังกล่าวได้เล่าเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้ทางราชการมีโครงการจะอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นอนุสรณ์สถานให้กับนายนรินทร์
ภาษิต แต่เนื่องจากเกิดอุปสรรคบางอย่างทำให้โครงการที่จะสร้างอนุสรณ์สถานต้องถูกระงับไป
จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายว่าบุคคลผู้ริเริ่มสิ่งดีๆ
ให้กับสังคมต้องถูกลืมเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความหมายในอดีต
แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่นรินทร์
ภาษิต ได้ทำไว้ไม่เคยสูญเปล่า ชาวบ้านละแวกนี้ยังคงระลึกถึงคุณงามความดีของเขาจึงไม่ลืมที่จะตั้งชื่อถนนซอยทางเข้าบ้านของเขาว่า
“ซอยนรินทร์
(กลึง)”
ผู้เขียนเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าคนที่ทำความดีเพื่อสังคมอย่างน้อยก็ต้องมีคนมองเห็นคุณงามความดีของเขาอย่างแน่นอน
เหมือนอย่างที่มีการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อถนนไว้เป็นอนุสรณ์ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตมานาน
๖๒ ปีแล้วก็ตาม
* ชื่อนรินทร์ ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อถนนทางเข้าบ้านว่า
"ซอยนรินทร์ (กลึง)" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ นรินทร์ ภาษิต
......................................................................................................
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง
ณ สถานที่แห่งนี้ย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๘๐ กว่าปีที่แล้วเคยมลังเมลืองด้วยความหมายว่าเป็นวัดแห่งแรกของนักบวชหญิง
หากแต่วันนี้หลงเหลือเพียงชื่อและเศษซากของโบราณวัตถุที่ยังคงพอหลงเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาว่า
“วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในพุทธศาสนา”
เคยอยู่ที่นี่
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมิได้ไปสู่การรับรู้จากสาธารณะว่านายนรินทร์
ภาษิต และที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในอดีตอย่างไร
แต่เชื่อว่าผลงานและวีรกรรมของเขาก็ไม่เคยสูญเปล่า เพราะคนที่ตั้งใจทำดีเพื่อสังคมไม่เคยตายไปจากโลกนี้จริงๆ
... เช่นเดียวกับ นรินทร์ ภาษิต คนนี้.
หมายเหตุ : ใจความ แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑
๑. แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑
ขัดกับพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้ามิได้ยกเลิกการบวชภิกษุณี-สามเณรี
๒. แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑
ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความว่า กฎหมายลูกขัดกับกฎหมายแม่
นอกจากจะขัดกับพุทธบัญญัติแล้วยังขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตามหลักกฎหมายแล้ว แถลงการณ์คณะสงฆ์นี้เป็นโมฆะตั้งแต่แรกแล้ว
๓.
ถึงแม้คณะสงฆ์จะห้ามภิกษุ-สามเณรบวชหญิงให้เป็นภิกษุณี แต่ไม่สามารถห้ามหญิงมิให้ไปบวชจากต่างประเทศได้