วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

'นารีวงศ์' ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณีตอน ๓

     
     ‘นารีวงศ์  ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม
     ตอนที่ ๓ ปัจจุบันของวัตร์นารีวงศ์
                                                                           พระวรธรรม เรื่อง / ภาพปัจจุบัน
                                                                                       อุสาห์ รงคสุวรรณ ภาพอดีต
                                                            คมชัดลึก วันพระ  อาทิตย์ 23 กันยายน 2555


            ห่างจากสะพานพระราม ๕ จังหวัดนนทบุรีไปไม่ไกลคืออดีต วัตร์นารีวงศ์ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยของวัตร์นารีวงศ์ให้เห็นอีกแล้ว หากถามผู้คนแถวนั้นว่า วัตร์นารีวงศ์ไปทางไหน พวกเขาจะสั่นหัวและตอบว่า ไม่รู้จัก บริเวณที่เคยเป็นวัตร์นารีวงศ์ปัจจุบันยังคงเป็นบ้านของนรินทร์ ภาษิต เจ้าของบ้านคนปัจจุบันคือลูกหลานผู้ไม่ต้องการเปิดเผยหน้าตาและชื่อเสียงให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณะ เราจึงไม่สามารถเปิดเผยหน้าตาและชื่อเสียงของเจ้าของบ้านให้เป็นที่รับรู้ได้

นรินทร์ ภาษิต ได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านหลังนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้วยอายุ ๗๗ ปี นางสาระบุตรสาวได้ถึงแก่กรรมไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ด้วยอายุ ๘๘ ปี ในขณะที่นางจงดีผู้น้องอยู่ในวัยชราและได้ย้ายไปอยู่กับลูกหลานที่ต่างจังหวัด ส่วนน้องชายอีก ๓ คนของนางสาระได้ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ผู้เขียนมีโอกาสเดินสำรวจรอบๆ บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งวัตร์นารีวงศ์ บัดนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บางส่วนเป็นกอหญ้าป่ารก และพบว่าอดีตวัตร์นารีวงศ์แห่งนี้ยังคงหลงเหลือเศษสิ่งก่อสร้างบางอย่างให้ได้รับรู้ว่าในอดีตที่นี่เคยเป็นวัดมาก่อนอย่างน้อยก็ ๓ สิ่ง นั่นคือ ภูเขาจำลอง ซากโบสถ์ และศาลาท่าน้ำ

                     
  ภูเขาจำลอง สิ่งก่อสร้างรูปทรงภูเขาขนาดเล็ก ความสูงประมาณ ๒ เมตร มีต้นไม้ปกคลุมไปทั่ว ภูเขาถูกตกแต่งด้วยไหและโอ่ง บ่งบอกให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เคยมีอาชีพปั้นหม้อดินขาย บนภูเขามีโบสถ์ขนาดจิ๋วสร้างประดิษฐานไว้ แต่ปัจจุบันโบสถ์จิ๋วได้พังทลายลงมา 

..........................................................................................................................................

                * โบสถ์ขนาดเล็กบนภูเขาจำลอง ถ่ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑
         บนภูเขามีโบสถ์ขนาดจิ๋วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าที่แห่งนี้เป็นพุทธสถาน
         ปัจจุบันโบสถ์จิ๋วได้พังทลายลงมาในค่ำคืนที่มีพายุฝนเดือนกันยายน ๒๕๔๖
            ................................................................................................................
                     
 ซากผนังโบสถ์ เป็นส่วนของผนังโบสถ์ที่พังทลายลงมาจากภูเขา เป็นศิลปะปูนปั้นรูปพระพุทธเจ้าปางป่าเลไลยก์ มีรูปช้างกับลิงนั่งหมอบอยู่เคียงข้าง ลายปูนปั้นมีลักษณะสมบูรณ์ 
                    
                     
         *   โบสถ์พังลงมาคงเหลือแต่ผนังโบสถ์ เป็นศิลปะปูนปั้นรูปพระพุทธเจ้า
                                ปางป่าเลไลยก์ ยังคงความสมบูรณ์สวยงาม 
        ...............................................................................................................................
 
                ศาลาท่าน้ำ สิ่งก่อสร้างชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น หากนั่งเรือจากท่าน้ำนนทบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ แล้วหันหน้าไปทางนนทบุรีฝั่งตะวันตกจะแลเห็นศาลาท่าน้ำนี้  เป็นศาลาท่าน้ำสีน้ำตาลทราย ไม่มีการตกแต่งทาสีใดๆ เป็นศาลารูปทรงโบราณที่ดูแปลกตา
                      
                         
                  * ศาลาท่าน้ำ สิ่งก่อสร้างชิ้นที่สมบูรณ์ที่สุดที่เหลือให้เห็นยามนั่งเรือผ่าน
                                                        เป็นศาลารูปทรงโบราณ ดูแปลกตา 

                    ...........................................................................................................................

              จากการค้นคว้าพบว่าวัตร์นารีวงศ์ในอดีตประกอบไปด้วยที่พักสงฆ์รูปทรงตึกสูง ๗ ชั้น ประกอบด้วยชั้นใต้ดิน ๑ ชั้น บนดิน ๔ ชั้น, ดาดฟ้า ๑ ชั้น, หอคอย ๑ ชั้น รวมเป็น ๗ ชั้น แล้วยังมีป้อมซึ่งเป็นบันไดเวียนขึ้นไปบนยอดเสาประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ทั้งหมดมีมูลค่าอยู่ที่หลักแสนสำหรับการก่อสร้างในเวลานั้น 

                      
                     *    ภาพถ่ายวัตร์นารีวงศ์ ริมน้ำเจ้าพระยาที่มีความสมบูรณ์ที่สุด

                               .................................................................................................

ในอดีต ๘๐ ปีที่แล้วใครสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงขนาดนี้ได้ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะต้องเป็นคนมีฐานะ เรียกได้ว่าวัตร์นารีวงศ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สะดุดตาที่สุดในแถบริมน้ำเจ้าพระยา หากใครพายเรือผ่านไปมาแถวนั้นก็ต้องฉงนสนเท่ห์ เพราะสมัยก่อนยังไม่มีการสร้างตึกสูงๆ นอกเสียจากเจดีย์หรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนา ตึกที่สูงที่สุดในเวลานั้นคือตึกที่เยาวราชมีความสูง ๙ ชั้น

น่าสังเกตว่าตึกวัตร์นารีวงศ์ที่นรินทร์สร้างมีความหมายของ พระรัตนตรัยแฝงอยู่ในสถาปัตยกรรมนี้ กล่าวคือ ยอดบนสุดเป็นป้อมประดิษฐาน พระพุทธ  ชั้นสองรองลงมาเป็นหอคอยหรือหอไตรเป็นสัญลักษณ์ของ พระธรรม ในขณะที่ชั้นล่างถัดลงไปเป็นที่พักสงฆ์ หมายถึง พระสงฆ์  นับว่านรินทร์มีหัวคิดในการสร้างมิใช่น้อย เพราะเป็นการนำความหมายของ พระรัตนตรัย มาใส่ไว้ในสิ่งก่อสร้าง น่าเสียดายที่สิ่งก่อสร้างถูกทำลายไปเสียหมด ไม่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ เวลานั้นนรินทร์ถูกจำคุกอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช (๒๔๘๖-๒๔๘๘) ซึ่งเป็นการติดคุกครั้งสุดท้ายของเขาในช่วงปัจฉิมวัย ประกอบกับอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ 

ขณะนั้นลูกๆ ทั้ง ๕ คนของนรินทร์โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ลูก ๔ คนลงความเห็นว่าให้ทำลายตึกเสียเหตุผลเพราะจะเป็นจุดเด่นให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิดได้ ในขณะที่นางสาระเป็นเพียงเสียงเดียวที่ต้องการให้เก็บรักษาไว้ เมื่อเป็นเพียงเสียงเดียวสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์ความสูง ๗ ชั้นของนรินทร์จึงถูกทุบทิ้งตามเสียงข้างมาก ขณะนั้นตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ น่าจะเป็นช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ๒๔๘๘ ที่มีการทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯ เหลือเพียงภูเขาจำลอง ซากโบสถ์ และศาลาท่าน้ำ ซึ่งเจ้าของบ้านบอกว่าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงนายนรินทร์นักต่อสู้

                ผู้เขียนถามเจ้าของบ้านว่าอยากพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าที่อดีตเคยเป็นวัตร์นารีวงศ์แห่งนี้ให้เป็นอย่างไร เจ้าของบ้านตอบว่าถ้ามีเงินมากพอก็อยากพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม เพราะตัวเธอเองสนใจการปฏิบัติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

                สุภาพสตรีท่านดังกล่าวได้เล่าเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้ทางราชการมีโครงการจะอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นอนุสรณ์สถานให้กับนายนรินทร์ ภาษิต แต่เนื่องจากเกิดอุปสรรคบางอย่างทำให้โครงการที่จะสร้างอนุสรณ์สถานต้องถูกระงับไป จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายว่าบุคคลผู้ริเริ่มสิ่งดีๆ ให้กับสังคมต้องถูกลืมเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความหมายในอดีต

                แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่นรินทร์ ภาษิต ได้ทำไว้ไม่เคยสูญเปล่า ชาวบ้านละแวกนี้ยังคงระลึกถึงคุณงามความดีของเขาจึงไม่ลืมที่จะตั้งชื่อถนนซอยทางเข้าบ้านของเขาว่า ซอยนรินทร์ (กลึง) ผู้เขียนเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าคนที่ทำความดีเพื่อสังคมอย่างน้อยก็ต้องมีคนมองเห็นคุณงามความดีของเขาอย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่มีการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อถนนไว้เป็นอนุสรณ์ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตมานาน ๖๒ ปีแล้วก็ตาม

         
                          *  ชื่อนรินทร์ ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อถนนทางเข้าบ้านว่า
                                         "ซอยนรินทร์ (กลึง)"  เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ นรินทร์ ภาษิต
                           ......................................................................................................

                แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ณ สถานที่แห่งนี้ย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๘๐ กว่าปีที่แล้วเคยมลังเมลืองด้วยความหมายว่าเป็นวัดแห่งแรกของนักบวชหญิง หากแต่วันนี้หลงเหลือเพียงชื่อและเศษซากของโบราณวัตถุที่ยังคงพอหลงเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาว่า วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในพุทธศาสนา เคยอยู่ที่นี่

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมิได้ไปสู่การรับรู้จากสาธารณะว่านายนรินทร์ ภาษิต และที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในอดีตอย่างไร แต่เชื่อว่าผลงานและวีรกรรมของเขาก็ไม่เคยสูญเปล่า เพราะคนที่ตั้งใจทำดีเพื่อสังคมไม่เคยตายไปจากโลกนี้จริงๆ ... เช่นเดียวกับ นรินทร์ ภาษิต คนนี้.

 
หมายเหตุ : ใจความ แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑
๑. แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑ ขัดกับพุทธบัญญัติ พระพุทธเจ้ามิได้ยกเลิกการบวชภิกษุณี-สามเณรี
๒. แถลงการณ์คณะสงฆ์ ๒๔๗๑ ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความว่า กฎหมายลูกขัดกับกฎหมายแม่
นอกจากจะขัดกับพุทธบัญญัติแล้วยังขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตามหลักกฎหมายแล้ว แถลงการณ์คณะสงฆ์นี้เป็นโมฆะตั้งแต่แรกแล้ว
๓. ถึงแม้คณะสงฆ์จะห้ามภิกษุ-สามเณรบวชหญิงให้เป็นภิกษุณี แต่ไม่สามารถห้ามหญิงมิให้ไปบวชจากต่างประเทศได้



4 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากครับ ขอบคุณครับที่เขียนเรื่องนี้ ผมอ่านบทความเรื่องนี้เป็นภาษาำไทยครั้งแรกที่นี่ เนื่องจากหาอ่านได้ยาก และน้อยคนนักที่จะกล่าวถึง ก่อนหน้านี้เคยอ่านงานของอาจารย์ ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห็ ซึ่่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อหาของทั้งสองท่านสอดคล้องกัน และอยากเห็นการบวชภิกษุณีมีมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นในสังคมไทย หรือ ที่อื่นทั่วโลก

    ตอบลบ
  2. พระรูปนี้มีเมตตาต่อเพศมารดาสูงมากจริงๆ ท่านก็คงรับในสิ่งที่ท่านได้กระทำไว้ดีแล้วแน่นอน

    ตอบลบ