วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

‘นารีวงศ์’ ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณี ตอน ๑


                                                           คมชัดลึก  วันพระ  อาทิตย์   9  กันยายน  2555

   'นารีวงศ์' ประวัติศาสตร์วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม
     ตอนที่ 1

   “ใครคือนรินทร์กลึง ?
        
บ่ายวันหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านของนักต่อสู้ในอดีตนาม นรินทร์ ภาษิต บ้านของเขาตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เมืองนนทบุรี ที่นั่นผู้เขียนสอบถามถึงเรื่องราวในอดีตของ นายนรินทร์และ นางสาระจากสุภาพสตรีผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อและตัวตนของเธอ เราจึงไม่อาจเปิดเผยที่มาที่ไปของเธอได้เพราะเธอต้องการเป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่สำคัญเธอมอบภาพถ่ายเก่าๆ ไว้ใช้ประกอบงานเขียนชิ้นนี้ซึ่งเป็นภาพถ่ายโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จนไม่อาจประเมินราคาได้ ข้อมูลต่างๆ ในบทความนี้ได้มาจากการสัมภาษณ์เธอ เอกสารที่พอจะหาได้จากบุคคลต่างๆ คือ อ.ศักดินา ฉัตรกุล อ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคุณปุ้มปุ้ย

ย้อนหลังกลับไป ๘๔ ปีที่แล้ว หรือราว พ.ศ. ๒๔๗๑ เรื่องราวการพาลูกสาวออกบวชเป็นสามเณรีของ นรินทร์ ภาษิต กลายเป็นประเด็นร้อนในเมืองสยาม ณ ช่วงเวลานั้นไม่มีใครไม่รู้จัก นรินทร์ ภาษิต เพราะเขาสร้างวีรกรรมไว้หลายอย่างเพื่อช่วยเหลือสังคมให้เกิดความเป็นธรรม เราจะย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ด้านที่ไม่มีการจดบันทึกไว้ซึ่งกำลังจะถูกลืมเลือนไปจากสังคมไทย


                            
                                                              นรินทร์ ภาษิต หรือนรินทร์กลึง
                                                          ผู้สร้างวัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม



นรินทร์ ภาษิต ชื่อนี้คือใคร  
หากจะนิยามบุรุษผู้มีนามว่า นรินทร์ ภาษิต หรือที่ใครๆ มักเรียกขานชื่อจริงผสมชื่อเล่นของเขาว่า นรินทร์กลึงนั้นคือใคร ก็อาจนิยามได้ว่านรินทร์เป็นประชาชนชาวสยามคนหนึ่งที่ต้องการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับชนชั้นล่าง ชนชั้นล่างที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาครัฐ เขาไม่ต้องการให้รัฐรีดนาทาเร้นคนยากจนจึงออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมอยู่เสมอ เขามุ่งมั่นเรียกร้องความจริงจากผู้มีอำนาจจนความจริงที่เขาพูดออกไปทำให้เขาติดคุก เขาเป็นชาวพุทธที่อยากเห็นพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจึงเสนอให้มีการสังคายนากำจัดอลัชชี เปลี่ยนคำว่าวัดเป็นวัตร์ พาผู้หญิงออกบวชห่มเหลือง เสนอให้ยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตและปล่อยตัวนักโทษเพื่อเปิดโอกาสให้คนได้กลับตัว ทั้งหมดนี้น่าจะนิยามได้ว่านรินทร์เป็นโพธิสัตว์แห่งสยามสมัยผู้เกิดมาเพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์เปลี่ยนแปลงสังคมให้เกิดความยุติธรรมทั้งก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงแม้หลายเรื่องที่เขาทำจะยังไม่สำเร็จก็ตาม

นรินทร์ ภาษิต เกิดในตระกูลสามัญชน เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๑๗ ๒๔๙๓ เขามีชีวิตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๙   อายุ ๑๕ ได้บวชเป็นสามเณร หลังลาสิกขาเข้าทำงานในวงราชการตลอด ได้เป็นเสมียนสังกัดกระทรวงต่างๆ ได้ยศเป็น หลวงศุภมาตรา แล้วเลื่อนเป็น หลวงรามบุรานุกิจ จนเป็น พระพนมสารนรินทร์ มีตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองนครนายก ที่นี่นรินทร์ได้แต่งงานกับนางผิว มีบุตร ๕ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๓ คือ สาระ ณรงค์ จงดี ศรีไทย และไชยโย
นรินทร์ลาออกจากข้าราชการเมื่ออายุ ๓๕ ปี แล้วพาครอบครัวหันไปปั้นหม้อดินขาย ส่วนตัวเขาเองสนใจเรื่องพัฒนาสังคม เขาจัดตั้งพุทธบริษัทสมาคมเป็นองค์กรพุทธองค์กรแรกที่ดำเนินงานโดยคฤหัสถ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแผ่พุทธธรรม ปฏิรูปพุทธศาสนา ปราศจากความงมงายให้เข้าถึงแก่น มีการออกวารสารธรรมะ ๒ เล่มคือ สารธรรม และ โลกกับธรรม 
 
           
เคยจัดตั้งคณะยินดีการคัดค้านเพื่อช่วยใครก็ได้ที่ถูกกลั่นแกล้ง ถูกกดขี่หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมให้มาแจ้ง คณะของเขาจะช่วยให้ได้รับความเป็นธรรม และยังออกวารสาร เหมาะสมัย รวมเรื่องราวของบุคคลที่มาร้องทุกข์เพื่อนำเสนอแก่เจ้าพนักงาน

เขาเคยผลิต ยาดองตรานกเขาคู่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนกลายเป็นเศรษฐีแล้วนำกำไรไปสร้างตึก ๗ ชั้น ต่อมาตึกนี้ได้กลายเป็นวัตร์นารีวงศ์ วัตร์ภิกษุณีแห่งแรกในสยาม

เพราะเป็นคนฉลาดอ่านออกเขียนได้ อาวุธที่เขาใช้ในการตอบโต้ผู้มีอำนาจคือ ใบปลิว ทุกครั้งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมสิ่งที่เขาลงมือทำทันทีคือการเผยแพร่ใบปลิว ใบปลิวของเขาแรง ถึงขนาดถูกห้ามแจก แต่เขาก็แค่วางทิ้งไว้บนพื้นแล้วมันก็หมดไปในพริบตา ในชีวิตของเขาก่อตั้งองค์กรเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมมาแล้วประมาณ ๑๐ องค์กร เขียนหนังสือและเผยแพร่ใบปลิวเพื่อปฏิวัติสังคมในแต่ละช่วงเวลาจนนับจำนวนไม่ได้ว่าออกหนังสือมาแล้วกี่เล่ม แจกใบปลิวไปแล้วกี่แผ่น


                                                             
                                               สามเณรีสาระวัย 18 ถ่ายรูปร่วมกับหญิงวัยรุ่นในสมัยนั้น


วีรกรรมจำคุก ๖ ครั้งในชีวิต

จะมีใครถูกตัดสินจำคุกได้มากครั้งเท่าเขาคนนี้ การติดคุกแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเองแต่ติดคุกเพราะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นทั้งสิ้น

เมื่ออายุ ๔๗ ปี ติดคุกครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๐ เวลานั้นมีการจี้ปล้นของโจรผู้ร้ายเกิดขึ้นในหลายท้องที่ เขาจึงแจกใบปลิว สงบอยู่ไม่ได้ ประณามการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการที่กินเงินภาษีราษฎรแต่ไม่เอาใจใส่ปกป้องดูแลความปลอดภัยของประชาชน รัฐบาลตั้งข้อหาว่าเขาแจกใบปลิวใส่ร้ายรัฐ ยุยงประชาชนให้เกลียดชังรัฐ นี่เป็นการติดคุกครั้งแรกในชีวิตเป็นเวลา ๒ ปี ๑ เดือน 

เมื่ออายุ ๕๗ ปี พ.ศ.๒๔๗๔ เวลานั้นเศรษฐกิจตกต่ำ เขาเขียนหนังสือทูลเกล้าฯ ถึงสมเด็จพระสังฆราชขอให้พระสังฆราชและพระสงฆ์ทุกรูปสละทรัพย์และนิตยภัตคืนแก่ประเทศชาติเพื่อช่วยเศรษฐกิจของชาติและขอให้พระองค์ช่วยกำจัดพระอลัชชีที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัย จดหมายนี้ทำให้เขาถูกฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นพระสังฆราชเป็นเหตุให้ถูกจำคุกเป็นครั้งที่ ๒ เป็นเวลา ๒ ปี

เมื่ออายุ ๕๙ ปี เขาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการอันเป็นเงินภาษีเก็บจากชายไทยทุกคนปีละ ๖ บาท ไม่เว้นแม้คนยากจน ใครไม่จ่ายถูกปรับเป็น ๑๒ บาท ใครไม่ชำระต้องจำคุก เขาจึงแจกใบปลิว ไทยไม่ใช่ทาสมีเนื้อหาประณามรัฐบาลว่ามีใจเหี้ยมโหดยิ่งกว่ามหาโจรปล้นได้กระทั่งคนยากจนและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการ เขาถูกจับเข้าคุกเป็นเวลา ๒ ปี ๘ เดือนในข้อหากบฏ แม้อยู่ในคุกก็ยังประท้วงต่อด้วยการอดอาหารนาน ๒๑ วัน เขาเป็นบุคคลแรกที่นำวิธีการอดอาหารมาใช้ ในที่สุดรัฐบาลยอมยกเลิกเก็บเงินรัชชูปการ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๖ สร้างความดีใจให้กับชายไทยที่ยากจนทุกคน 

การติดคุก ๓ ครั้งสุดท้ายครั้งละ ๒ ปีเป็นการติดคุกเพราะมีเรื่องกับนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม นรินทร์ออกหนังสือ แนวหน้า วิจารณ์จอมพล ป.เป็นเผด็จการณ์เรื่องห้ามนุ่งจุงกระเบนห้ามเคี้ยวหมาก ออกใบปลิวและเขียนจดหมายใช้ถ้อยคำหยาบคายถึงจอมพล ป. โดยตรง พร้อมกับท้าให้จอมพล ป.สละตำแหน่งนายกฯ แล้วให้ตนขึ้นเป็นนายกฯ แทน เขาเข้าคุกครั้งสุดท้ายเมื่อปัจฉิมวัย ๖๙ ปี ออกจากคุกเมื่ออายุ ๗๑ ปี

นรินทร์เคยพูดไว้ว่า คนเราอย่างมากที่เขาจะทำกับเราได้คือจับไปฆ่าเสียเท่านั้นนี่จึงเป็นคติประจำใจที่ทำให้เขามีแรงต่อสู้กับผู้มีอำนาจโดยไม่สนว่าตัวเองจะถูกลงโทษอย่างไร.




                                        สามเณรีจงดีวัย ๑๓ ขวบภายในวัตร์นารีวงศ์
                                       นรินทร์จงใจใช้คำว่าวัตร์ซึ่งมาจากคำว่าวัตร หมายถึงการประพฤติปฏิบัติ


                                       ขอบคุณ คุณอุสาห์ รงคสุวรรณ  เจ้าของภาพ
                                     ติดตามอ่านตอน 2  ใน  น.ส.พ. คมชัดลึก  วันพระหน้า เสาร์ 15 กันยายน  2555 
                          เนื้อเรื่องตอนถัดไป  เข้มข้นด้วยเหตุการณ์ พาลูกสาวออกบวช ปี  2470 -2474 (กินเวลา 5 ปี)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น