พระชาย
วรธัมโม คมชัดลึก เสาร์ 8
มิถุนายน 2556
สามปีที่แล้วตอนเรียนวิชาศาสนาต่างๆ
(Religions) อาจารย์ดิออน พีเพิ่ล (Dion Peoples) ให้นักเรียนใช้หนังสือการแปรเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ (The Great
Transformation) ของคาเรน อาร์มสตรอง (Karen Armstrong) เราเห็นว่าเป็นหนังสือที่อ่านยากจึงนำไปให้เพื่อนชาวออสเตรเลียฟิลลิป
บราวฮิล (Phillip Brownhill) ช่วยแปลให้บางส่วน
จึงค้นพบว่าชื่อหนังสือ The Great Transformation มีความหมายที่ยิ่งใหญ่และน่าสนใจมากพอๆ
กับเนื้อหาข้างใน
ต่อมาเราไปเจอบทความแปลของอาจารย์มัทนา เกษตระทัต
ในบล็อก Go
to know อาจารย์แปลบางตอนของหนังสือแล้วนำเผยแพร่ในบล็อก จึงมีโอกาสสนทนากับอาจารย์เกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ทำให้เกิดความกระจ่างมากขึ้น
บทความนี้เกิดขึ้นได้เพราะ อ.ดิออน อ.มัทนาและเพื่อนฟิลลิป ขอบคุณสามท่านมากๆ
หนังสือ The Great Transformation เป็นหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์การเกิดศาสนาต่างๆ บนโลก โดยเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่ายุคเอเซียล
(Axial Age) ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ ๔๐๐ ปีก่อนพุทธกาลจนถึงประมาณ
พ.ศ. ๓๐๐ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนขนมเค้กก้อนโต ในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เรามีเปรียบเหมือนขนมเค้กชิ้นเล็กๆ
ที่ถูกตัดแบ่งออกมาจากขนมเค้กก้อนโต้อีกที การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เท่ากับเรากำลังเติมเต็มความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของศาสนาในส่วนที่ขาดหายไป
ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจศาสนาที่เรากำลังนับถืออยู่มากยิ่งขึ้น
หนังสือ
The
Great Transformation
บทแรกของหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงชาวอารยันที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบตอนใต้แถบรัสเซีย
ต่อมาชาวอารยันได้แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งย้ายถิ่นฐานลงไปทางใต้ไปปักหลักอยู่แถวอิหร่านตะวันออก
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งย้ายถิ่นฐานลงไปอาศัยในแถบลุ่มน้ำสินธุซึ่งก็คือประเทศอินเดียกับปากีสถานในปัจจุบัน
ใครที่เคยอ่านพุทธประวัติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรส จะพบว่าในหน้าแรกก็พูดถึงชาวอารยันที่อพยพมาจากตอนเหนือของภูเขาหิมาลัยลงมาอาศัยแถบชมพูทวีปซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันเลย
ชาวอารยันกลุ่มนี้คือบรรพบุรุษของกษัตริย์ศากยะวงศ์ เจ้าชายสิทธัตถะก็มีเชื้อสายมาจากชาวอารยันกลุ่มนี้
ช่วงที่ชาวอารยันยังคงอยู่ที่ทุ่งราบแถบรัสเซีย
ช่วงเวลานั้นยังมีความสงบสุขปราศจากสงคราม พวกเขานับถือเทพเจ้าบนฟากฟ้า ต่อมาประมาณ
๗๐๐ ปีก่อนพุทธกาลพวกเขาทำการสู้รบเบียดเบียนทำร้ายกันเองจนกลายเป็นสงคราม ทำให้กลุ่มที่ถูกเบียดเบียนที่เคยนับถือเทพเจ้าบนฟากฟ้าหันมาบูชาเทพเจ้าชื่อมาสด้าแล้ววิวัฒนาการเป็นศาสนาชื่อโซโรอัสเตอร์
กลุ่มที่ถูกเบียดเบียนเชื่อว่าเทพเจ้ามาสด้าสามารถปกป้องพวกเขาจากการถูกเบียดเบียนจากฝ่ายตรงข้าม
ศาสนาโซโรอัสเตอร์จึงถือกำเนิดขึ้น ณ บัดนั้น
ศาสนาโซโรอัสเตอร์จัดเป็นศาสนาแรกๆ
ที่เกิดชึ้นในยุคเอเซียล ต่อมาชาวอารยันกลุ่มที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานแถบอิหร่านตะวันออกได้นำเอาศาสนาโซโรแอสเตอร์ไปด้วย
ศาสนาโซโรแอสเตอร์จึงเจริญอยู่ที่อิหร่านจนวิวัฒนาการกลายมาเป็นศาสนายูดาย คริสต์และอิสลามในดินแดนอิสราเอลซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา
ในยุคเอเซียลนอกจากดินแดนอิสราเอลซึ่งให้กำเนิดศาสนาขึ้นมาแล้ว
ยังมีดินแดนอีก ๓ แห่งที่มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับศาสนาและการค้นหาความจริง ในจีนเกิดลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า
ในชมพูทวีปเกิดศาสนาฮินดูและพุทธ ในขณะที่กรีกเกิดนักคิดนักปรัชญา โซเครติส เพลโต้
อริสโตเติล มันเป็นเรื่องน่าประหลาดที่จู่ๆ ผู้คนในส่วนต่างๆ ของโลกทั้ง ๔ ดินแดนต่างให้ความสนใจในเรื่องศาสนาและการแสวงหาความจริงของชีวิตขึ้นมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
The Great Transformation หรือ ‘การแปรเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่’ ที่คาเรน อาร์มสตรอง นำมาใช้เป็นชื่อหนังสือ อ.มัทนาให้ความเห็นว่ามีความหมาย
๓ นัยยะด้วยกัน
๑) หมายถึงยุคที่มนุษย์หันมาให้ความสนใจในเรื่องการค้นหาความจริงของชีวิต
การเข้าถึงพระเจ้า จนทำให้เกิดศาสนาและปรัชญาขึ้นมาในช่วงเวลานั้น
๒) หมายถึงศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้คงความเป็นศาสนานั้นตลอดไปแต่มีวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนไปเป็นศาสนาต่างๆ
เช่น จากโซโรอัสเตอร์พัฒนาเป็นยูดาย จากยูดายพัฒนาเป็นคริสต์และอิสลาม ในขณะที่ฮินดูก็พัฒนาเป็นพุทธ
๓) หมายถึงการแปรเปลี่ยนตัวเองของผู้นับถือศาสนา
คือการเข้าถึงพระเจ้า เข้าถึงพรหม เข้าถึงนิพพาน
คาเรนได้ตั้งข้อสังเกตว่า
ทุกศาสนาต่างมีข้อความบางอย่างที่ต้องการสื่อสารคล้ายๆ กัน นั่นก็คือ “หากท่านไม่ชอบให้ผู้อื่นทำกับท่านอย่างไร ท่านก็จงอย่าทำเช่นนั้นกับผู้อื่น” พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือมนุษย์จงอย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน
จงมีเมตตากรุณาต่อกัน ศาสนาและศีลธรรมได้เกิดขึ้น ณ ยุคเอเซียลนี้เอง นั่นหมายความว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขมาตลอด
ความไม่สงบหรือสงครามเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาจนเป็นเหตุให้เกิดศาสนาขึ้น
ดังนั้น
ความหมายของศาสนาจึงมีอยู่ ๒ ประการ คือ หล่อหลอมให้มนุษย์มีความเมตตากรุณาต่อกัน
และมุ่งหวังให้มนุษย์ละทิ้งอัตตาตัวตนและความเห็นแก่ตัวออกไป แต่เมื่อพูดมาถึงบรรทัดนี้เรากลับพบว่าหลังจากที่เราเริ่มมีศาสนากันมากลับทำให้มนุษย์เราทำสงครามกันในนามศาสนากันมาตลอด
คงเพราะเรายึดติดในศาสนามากเกินไปจนทำให้เราลืมความหมายเดิมแท้ของศาสนาว่าศาสนาสอนให้ละวางไม่ใช่สอนให้เรายึดติด
บางทีการเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นก็คือการก้าวข้ามผ่านฉลากศาสนาที่แปะอยู่กลางหน้าผากแห่งความยึดติดของเราเอง
คาเรนในอดีตเมื่ออายุ
๑๗ เธอตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นแม่ชีแคทอลิคเพราะเธอต้องการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า
เวลาผ่านไป ๗ ปี ระบบในคอนแวนต์ไม่สามารถสนับสนุนให้เธอเข้าใจในพระเจ้าได้ เพราะที่นั่นต้องการศรัทธาเป็นที่ตั้งในขณะที่คาเรนยังมีความสงสัย
หลายคำถามที่เธอมีไม่อาจพบกับความกระจ่างได้
ในที่สุดเธอจึงออกมาใช้ชีวิตฆราวาสเมื่ออายุ ๒๔ หลังจากนั้นเธอเริ่มศึกษาศาสนาต่างๆ
จนเกิดแรงบันดาลใจให้เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับศาสนาออกมา ๑๖ เล่ม หนึ่งในนั้นมีพุทธศาสนารวมอยู่ด้วย
จนบางครั้งเธอแทบจะรู้ดีกว่าเจ้าของศาสนานั้นๆ ด้วยซ้ำ ในที่สุดเธอก็ค้นพบการเปลี่ยนผ่านอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความเข้าใจในศาสนา
เธอพบว่าแท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางของทุกศาสนาแม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เช่น
พระเจ้า พรหม เต๋า ความว่าง ความเป็นหนึ่งเดียว อัลเลาะห์ หรือแม้แต่นิพพาน
แท้จริงแล้วมันคือความจริงที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่สามารถเข้าถึงได้ด้วยจิตใจและความรู้สึก
คาเรน
อาร์มสตรอง (๖๙ ปี) ผู้เขียนหนังสือ The Great Transformation
มีคนเคยถามคาเรนว่าเธอนับถือศาสนาอะไร เธอตอบว่า
“โดยปกติแล้วฉันมักจะตอบแบบเล่นๆ
ว่าฉันเป็นคนนับถือพระเจ้าไม่จำกัดศาสนา ฉันอยู่กับพระเจ้าแห่งอับราฮัมทั้งสาม (ยูดาย
คริสต์ อิสลาม) ฉันไม่เห็นว่าพระเจ้าองค์ใดจะมีเอกสิทธิ์ในความจริงกว่าองค์ใด
หรือไม่เห็นว่าพระเจ้าองค์หนึ่งจะใหญ่กว่าอีกองค์หนึ่ง พระเจ้าแต่ละองค์ต่างมีปรีชาญาณและต่างก็มีหลุมพรางให้เราตกลงไปได้เท่าๆ
กัน เมื่อเร็วๆ นี้ฉันเขียนบทความสั้นๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
และฉันก็รู้สึกหลงใหลในสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาจิตวิญญาณ ความเมตตากรุณา
การละวางตัวตนก่อนเข้าสู่นิพพาน ในมุมมองของฉันแล้วความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเหล่านั้นกำลังพูดเรื่องเดียวกัน
บนหนทางเดียวกัน แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันก็ตาม มันคือเรื่องเดียวกัน”
ถึงที่สุดแล้ว “การแปรเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่” ในความหมายของ คาเรน
อาร์มสตรอง คือการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกศาสนา
ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของศาสนานั้นจะมีชื่อเรียกว่าอะไรก็ตาม.