ตอนจบ "ภาวนากับก้อนกรวด"
พระชาย
วรธัมโม / เรื่อง,ภาพ คมชัดลึก พฤหัสบดี 9 พฤษภาคม 2556
ทำงานกับลมหายใจ
นักบวชหมู่บ้านพลัมนอกจากจะมาจากหลายชาติหลายภาษาแล้ว
ยังมาจากหลายสาขาอาชีพ บางท่านเป็นสถาปนิก บางท่านเป็นนักจิตวิทยา บางท่านเป็นบุรุษพยาบาล
บางท่านเป็นเจ้าของกิจการ หลายท่านมีเงินเดือนสูงไม่ใช่บุคคลว่างงานหรือบุคคลไร้อาชีพ
แต่ทุกท่านสมัครใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมาเป็นนักบวชแล้วหันมา “ทำงานกับลมหายใจ” แทนที่จะทำงานเพื่อเงิน
การทำงานกับลมหายใจของนักบวชหมู่บ้านพลัมเป็นการทำงานที่ไม่มีเงินเดือนให้
(มีเพียงเงินติดกระเป๋าจากสังฆะให้ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น)
สิ่งที่นักบวชหมู่บ้านพลัมต้องทำงานให้กับสังฆะคือการใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับลมหายใจเข้าออก
ไม่ว่าอดีตท่านจะเคยประกอบอาชีพอะไรมา
แต่อาชีพใหม่ของท่านเวลานี้คือการอยู่กับลมหายใจ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดในชีวิตประจำวัน
ทั้งหมดคือการใช้ชีวิตอยู่กับลมหายใจตลอดเวลา
ยิ่งอยู่กับลมหายใจได้นานเท่าไรสติก็ยิ่งมีการต่อเนื่องมากขึ้นเท่านั้น นี่คือการทำงานกับลมหายใจ
ทุกครั้งที่เสียงระฆังดังขึ้นนั่นคือสัญญาณให้นักบวชและผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านอยู่นิ่งๆ
แล้วตามความรู้ตัวทั่วพร้อม อยู่กับลมหายใจเข้าออก ๓ ครั้งก่อนจะเคลื่อนไหวกายทำสิ่งอื่นต่อไปตามปกติ
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในการปฏิบัติภาวนาทุกครั้งของหมู่บ้านพลัมจนเรียกได้ว่านี่คือเอกลักษณ์ของสำนักปฏิบัติธรรมสำนักนี้
ไม่ว่าเสียงระฆังจะดังขึ้นเมื่อไรก็ตามทุกคนต้องหยุดดูลมหายใจตัวเองทุกครั้ง
วงสนทนากลุ่มย่อยเรื่อง ‘เทคนิคการฝึกสมาธิสำหรับเด็กๆ’ ผู้เข้าร่วมประมาณ ๓๕
ท่าน
ภาวนากับก้อนกรวด
ค่ำวันที่ ๔
ของการภาวนามีการแบ่งกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็น ๑๑ กลุ่มย่อยให้เลือกตั้งแต่ ๑) การมีสติในชีวิตประจำวัน
๒) การสร้างกลุ่มเพื่อการปฏิบัติธรรม ๓)
การแปรเปลี่ยนความตึงเครียดและความกดดันในที่ทำงาน ๔)
การฟังอย่างลึกซึ้งและการสื่อสารด้วยความกรุณา ๕)
การบ่มเพาะความเบิกบานและความสุขในชีวิตประจำวัน ๖)
การเอาชนะความกลัวในการพลัดพรากและการสูญเสีย ๗) เทคนิคการฝึกสมาธิสำหรับเด็กๆ ๘) วิธีนำการผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ ๙)
การภาวนาด้วยเพลงและเกมสำหรับเด็กทุกวัย ๑๐)
การช่วยเหลือเด็กให้สามารถดูแลอารมณ์ที่รุนแรง และ ๑๑) การเริ่มต้นใหม่
แต่ละกลุ่มมีพระภิกษุภิกษุณีเข้าไปเป็นผู้นำกระบวนการกลุ่มโดยใช้วิธีแบ่งปันการเล่าประสบการณ์ว่าใครมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นอย่างไรบ้าง
ผู้เขียนเลือกหัวข้อ ‘เทคนิคการฝึกสมาธิสำหรับเด็กๆ’ มีผู้นำกลุ่มเป็นภิกษุณี
ท่านได้เล่าถึงเทคนิควิธีการ ‘ภาวนากับก้อนกรวด’ ที่เคยทำกับเด็กเล็กๆ ให้ฟังว่า
ก่อนอื่นให้เราพาเด็กไปเดินเล่นนอกบ้านแล้วบอกกับเด็กว่าเรามีเกมสนุกๆ
จะให้เล่นโดยให้เด็กเก็บก้อนกรวดมา ๔ ก้อน ถ้าไม่มีก้อนกรวดอาจจะเป็นอะไรก็ได้เช่น
ใบไม้ ลูกไม้ ให้ได้จำนวน ๔ ชิ้น จากนั้นก็หาที่นั่งที่สะดวกทำกิจกรรมกัน
เราให้เด็กนั่งลงกับพื้นหรือนั่งบนเก้าอี้
ให้เด็กแบมือขวาออก นำก้อนกรวดวางที่มือเด็กเป็นเม็ดที่ ๑ แล้วบอกกับเด็กให้หลับตาพร้อมพูดนำเด็กให้ระลึกว่า
‘ลมหายใจต่อไปนี้เปรียบเหมือนดอกไม้ที่มีความสดชื่น’ แล้วให้เด็กนับลมหายใจเข้าออก
๓ ครั้ง จากนั้นให้เด็กลืมตาแล้วหยิบก้อนกรวดออกวางไว้บนพื้น
เราวางก้อนกรวดเม็ดที่ ๒ ลงบนฝ่ามือของเด็ก
ให้เด็กหลับตาพร้อมพูดนำเด็กให้ระลึกว่า ‘ลมหายใจต่อไปนี้เปรียบเหมือนภูเขาที่มั่นคงแข็งแรง’ แล้วให้เด็กนับลมหายใจเข้าออก ๓ ครั้ง จากนั้นให้เด็กลืมตาแล้วหยิบก้อนกรวดออกวางไว้บนพื้น
เราวางก้อนกรวดเม็ดที่ ๓
ลงบนฝ่ามือของเด็ก ให้เด็กหลับตาพร้อมพูดนำเด็กให้ระลึกว่า ‘ลมหายใจต่อไปนี้เปรียบเหมือนสายน้ำที่ฉ่ำเย็น’ แล้วให้เด็กนับลมหายใจเข้าออก
๓ ครั้ง จากนั้นให้เด็กลืมตาแล้วหยิบก้อนกรวดออกวางไว้บนพื้น
เราวางก้อนกรวดเม็ดที่ ๔
ลงบนฝ่ามือของเด็ก ให้เด็กหลับตาพร้อมพูดนำเด็กให้ระลึกว่า ‘ลมหายใจต่อไปนี้เปรียบเหมือนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า’ แล้วให้เด็กนับลมหายใจเข้าออก
๓ ครั้ง จากนั้นให้เด็กลืมตาแล้วหยิบก้อนกรวดออกวางไว้บนพื้น การภาวนาจบลง จากนั้นให้ถามเด็กว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง
หรือได้ประสบการณ์อะไรที่น่าสนใจระหว่างที่หลับตานับลมหายใจ
คำตอบของเด็กไม่จำเป็นต้องมีความหมายสูงส่ง
เพราะคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่จะทำให้เด็กได้เปิดเผยจินตนาการของตนเอง และคำถามได้ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับเด็กที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
มีการพูดคุยถามความรู้สึกกัน การภาวนากับก้อนกรวดเป็นกุศโลบายให้เด็กๆ
ได้รู้จักลมหายใจของตัวเองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนไปจนถึงเด็กชั้นประถม
เด็กวัยนี้ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการทำสมาธิคืออะไร
เพราะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทำสมาธิ อย่างน้อยการให้เขาได้หลับตาสูดลมหายใจเข้าออกแล้วระลึกถึงธรรมชาติรอบตัว
เช่น ดอกไม้ ภูเขา สายน้ำ ท้องฟ้า
ย่อมบ่มเพาะให้เขาเข้าใจธรรมชาติในลมหายใจของเขามากขึ้นว่ามีลักษณะผ่อนคลายอย่างไร
แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงเทคนิควิธี
ยังไม่สำคัญเท่ากับความเมตตา กรุณาและการไม่ใช้อำนาจที่เราควรมีให้กับเด็ก
พ่อแม่ผู้ปกครองมักตั้งความคาดหวังกับเด็กไว้สูงและใช้อำนาจจนเด็กไม่มีความสุข การเลี้ยงดูเด็กที่ดีคือการมีความเมตตา
กรุณา ฝึกฝนที่จะไม่ใช้อำนาจกับเด็กๆ เปิดโอกาสให้เด็กเติบโตผ่านความคิดและจินตนาการของเขาเอง
เมื่อนั้นเด็กก็จะมีความสุข ผู้ใหญ่ก็ได้ปฏิบัติธรรมดูแลจิตใจตนเองไปด้วย พระภิกษุณีสรุปในตอนท้าย
รับศีลวันสุดท้ายของการภาวนา
เป็นธรรมเนียมของการภาวนาของหมู่บ้านพลัมที่สนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติได้เกิดความต่อเนื่องไปกับการปฏิบัติ
จึงสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติมีการสมาทานรับข้อฝึกอบรมสติ ๕ ประการ หรือศีล ๕ ไปปฏิบัติต่ออย่างเป็นกิจจะลักษณะ
สังเกตว่าเป็นการสมาทานศีลในวันสุดท้ายของการปฏิบัติแทนที่จะเป็นวันแรก และยังเป็นการเปิดโอกาสให้สมาทานตามความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ
มีการมอบบัตรแสดงตนยืนยันการปฏิบัติมั่นคงในข้อฝึกอบรมสติ ๕ ประการให้กับผู้สมาทานไว้เป็นหลักฐานด้วย
หมู่บ้านพลัมใช้หลักการนี้เพราะถือว่าการปฏิบัติธรรมไม่มีใครบังคับใครได้
คนๆ นั้นต้องพร้อมจะปฏิบัติด้วยตนเอง การสมาทานศีล ๕ จึงไม่ใช่สิ่งที่จะมาสมาทานกันบ่อยๆ
พร่ำเพรื่อ จะทำบุญหรือถวายสังฆทานก็สมาทานศีลกันทีนึง รับศีลไปแล้วก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติแต่วางกองไว้ตรงนั้น
นั่นไม่ใช่ลักษณะของหมู่บ้านพลัม เพราะการปฏิบัติศีล ๕ ต้องมีความจริงใจ อย่างน้อยการมาร่วมภาวนากับหมู่บ้านพลัมก็ทำให้หลายคนหันมาตระหนักรู้และปฏิบัติศีล
๕ กันมากขึ้น
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแนวทางและรูปแบบการปฏิบัติภาวนาของหมู่บ้านพลัมซึ่งได้ประยุกต์คำสอนในพุทธศาสนาไปสู่ความเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน
ไม่มอมเมาด้วยเครื่องรางของขลังแต่ลัดตรงสู่การปฏิบัติจริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผู้เขียนอาจจะไม่ได้พูดถึง
หากคุณผู้อ่านอยากรู้มากกว่านี้มีทางเดียวคือต้องไปปฏิบัติกับหมู่บ้านพลัมด้วยตนเอง
แล้วจะรู้ว่าหมู่บ้านพลัมไม่สนใจของขลังจริงๆ.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น