"สังฆะในความหมายใหม่"
พระชาย
วรธัมโม / เรื่อง
พระสมบูรณ์
สุมังคโล / ภาพ
คมชัดลึก ศุกร์ 3 พฤษภาคม 2556
คมชัดลึก ศุกร์ 3 พฤษภาคม 2556
เคยมีคนถามว่าการอบรมปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมเขาปฏิบัติอะไรกันบ้าง
รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ตอบยากเพราะการปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมไม่ใช่การสอนให้รู้จักการภาวนาเจริญสติเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมเรื่องอื่นๆ
เข้าไปไว้ในการปฏิบัติธรรมด้วย ที่สำคัญก็คือหมู่บ้านพลัมไม่สนใจพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือของขลัง
แต่สนใจให้คนลงมือปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกันจริงๆ มากกว่า
การมาเยือนเมืองไทยของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ในวัย
๘๗ ปีครั้งนี้ ยังคงชักชวนให้คนไทยมาลิ้มรสธรรมะโดยปราศจากเครื่องรางของขลังเช่นเคย
ภายใต้หัวข้อการปฏิบัติธรรม “จริยธรรมประยุกต์” มีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้เข้าร่วมที่เป็นครู อาจารย์
หรือบุคลากรที่ทำงานด้านการสอน
การปฏิบัติธรรมครั้งนี้เกิดขึ้นที่
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วังน้อย พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่
๔-๘ เมษายนที่ผ่านมา รายการปฏิบัติธรรมที่เหลืออีกสองรายการที่นครนายกถูกจองเต็มทันทีที่เปิดให้จองเพียงสัปดาห์แรก
เริ่มต้นด้วยการร้องเพลง
วันแรกของการปฏิบัติธรรมเริ่มขึ้นเมื่อเวลา
๑ ทุ่ม การปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสมาทานศีล ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ตามรูปแบบที่มักปฏิบัติกัน
แต่เริ่มต้นด้วยการร้องเพลงประสานเสียงของคณะนักบวชชายหญิงจากหมู่บ้านพลัม เป็นการปลุกผู้ฟังให้ตื่นจากความหลับไหลไปกับเสียงร้องเพลงธรรมะที่ไพเราะยากจะหาฟังได้จากที่ไหน
การร้องเพลงขัดกับวินัยที่พระพุทธเจ้าห้ามนักบวชร้องเพลงมิใช่หรือ
ทำไมนักบวชหมู่บ้านพลัมจึงร้องเพลงกันได้ คำตอบคือการร้องเพลงของนักบวชหมู่บ้านพลัมไม่ได้ร้องเพื่อกระตุ้นอารมณ์เหมือนเพลงประโลมโลกทั่วไป
แต่เป็นการร้องที่นำไปสู่การตระหนักรู้ในการปฏิบัติ เป็นบทเพลงที่ทำให้ผู้ปฏิบัติตระหนักรู้ในความเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆ
ตัว เป็นบทสวดที่กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตาต่อการรับฟังความทุกข์ยากของสรรพสัตว์
ถ้าบทเพลงจะทำให้การหยั่งรู้ลงในธรรมของผู้ร้องหรือผู้ฟังมีมากขึ้นการร้องเพลงนั้นก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน
ใครก็ตามที่เข้ามาปฏิบัติภาวนากับหมู่บ้านพลัมสิ่งที่แรกๆ
ที่ต้องทำก็คือการร้องเพลง
การร้องเพลงในขณะที่เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์
ในความหมายหนึ่งคือการได้ปลดปล่อยความทุกข์ทางใจออกไป ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเพิ่มพลังในการปฏิบัติธรรมไปด้วยเมื่อเนื้อหาของเพลงจูงใจผู้ร้องและปลุกใจผู้ฟังในเกิดความมั่นคงในการปฏิบัติ
หนทางของมหายานอาจจะมีความแตกต่างจากเถรวาทด้วยมุมมองธรรมะที่กลับด้านออกไป
เมื่อร้องเพลงจบหลวงปู่ลงมาบรรยายธรรมข้างล่างแทนที่จะพูดบนเวทีเพื่อความใกล้ชิดคนฟังยิ่งขึ้น
หลวงปู่กล่าวถึงความสุขว่า “ถ้าเรามีความสุขเราจะสามารถทำให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรามีความสุขไปด้วย แต่เมื่อใดที่เรามีทุกข์
เรามีความโกรธ มีความหงุดหงิด สิ่งเหล่านั้นจะกระจายไปยังคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราด้วยเหมือนกัน
ถ้าเราไม่มีความสุขเราก็ไม่มีอะไรจะให้คนอื่น ถ้าเรามีความสุขเราก็สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ด้วย”
พร้อมยกตัวอย่างให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าเป็นครูที่มีความสุขที่สุดในโลกคนหนึ่ง
เมื่อพระพุทธเจ้ามีความสุขมากมาย พระองค์ก็สามารถช่วยให้คนมากมายเหล่านั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ด้วยเช่นกัน
นี่เป็นคำสอนง่ายๆ ที่ทำให้เห็นว่าเรามีส่วนช่วยให้บุคคลรอบๆ ตัวเรามีความสุขได้เพียงเราทำตัวเองให้มีความสุขภายในเสียก่อน
เมื่อนั้นความสุขจากภายในของเราก็จะแผ่กระจายออกไปยังบุคคลรอบข้าง
‘สังฆะ’ ในความหมายใหม่
ทุกครั้งที่หลวงปู่เดินทางไปจัดภาวนาที่ไหนก็ตามท่านจะไปพร้อมกับภิกษุภิกษุณีจำนวนมากมาย
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านมากันเป็นคณะใหญ่พร้อมด้วยนักบวชชายหญิงจำนวน ๑๖๐ รูป เพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมจำนวน
๗๐๐ คน ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมจำนวนมากขนาดนี้ถ้าไม่ใช่มืออาชีพคงจัดการให้เพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติธรรม
๕ วันไม่ได้แน่ แต่ใครจะรู้ว่าที่ต้องมากันเป็นคณะใหญ่ก็เพราะหลวงปู่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจคำว่า
”สังฆะ” ในความหมายใหม่ว่าหมายถึง “การอยู่ร่วมกันของผู้ปฏิบัติธรรม” โดยไม่จำกัดว่าต้องหมายถึง
“คณะสงฆ์” อย่างที่ชาวพุทธทั่วไปเข้าใจกัน
อาจเป็นกลุ่มฆราวาสด้วยกันก็ได้
ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมประมาณ ๗๐๐ คนได้ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มสังฆะย่อยซึ่งเรียกว่า
‘กลุ่มครอบครัว’ ประมาณ ๒๐ กลุ่ม
โดยมีนักบวชจากหมู่บ้านพลัมเข้าไปกำกับดูแลกลุ่มสังฆะย่อยทุกกลุ่มคล้ายเป็นพี่เลี้ยงธรรมะในกลุ่มสังฆะนั้นเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมมีโอกาสพูดคุยกับนักบวชและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันอย่างทั่วถึง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลวงปู่ต้องพานักบวชติดตามไปด้วยมากมาย เพื่อเป็นการแบ่งงานกันทำตามความหมายของ
“สังฆะ” เมื่อนักบวชมีโอกาสนำภาวนาในกลุ่มย่อย
ก็ทำให้นักบวชเกิดการเจริญเติบโตจากการได้เป็นผู้นำ ไม่ใช่หลวงปู่เก่งเพียงคนเดียวแต่ลูกศิษย์ไม่เอาไหนเลย
นี่เป็นวิธีการฝึกลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดของอาจารย์ทีเดียว
นั่นเป็นส่วนของการบริหารจัดการผู้เข้าร่วมจำนวนมาก
หมู่บ้านพลัมยังต้องบริหารจัดการเรื่องเครื่องเสียงที่นำไปเองด้วย ใครจะรู้ว่าแต่ละครั้งที่หลวงปู่ไปจัดกิจกรรมภาวนาที่ไหนก็ต้องพกพาเครื่องเสียงไปเองทั้งไมโครโฟน
ลำโพง เครื่องขยายเสียง หูฟังสำหรับการแปลภาษาในกรณีที่มีผู้เข้าร่วมเป็นชาวต่างประเทศ
และยังต้องจัดหาอาสาสมัครมาเป็นล่ามแปลเป็นภาษาต่างๆ บางครั้งนักบวชในหมู่บ้านพลัมก็เป็นล่ามให้เพราะนักบวชในหมู่บ้านพลัมมาจากหลายชาติหลายภาษา
และยังมีการบันทึกวิดีโอ บันทึกภาพนิ่ง
เหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักบวชในหมู่บ้านพลัมจัดการเองทั้งสิ้น
ถามว่าทำไมต้องมีเครื่องเสียงไปเอง
เพราะหลวงปู่ให้ความสำคัญกับการฟังมาก ธรรมะดีแต่ถ้าเครื่องเสียงไม่ดีการบรรยายธรรมะก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ในเมื่องานหลักของหมู่บ้านพลัมคือการเผยแพร่ธรรมะ การมีครื่องเสียงไปเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เหมือนกับวงดนตรีที่ต้องการให้คนฟังประทับใจก็ต้องมีเครื่องเสียงที่มีคุณภาพ ทั้งหมดคือความหมายของ
“สังฆะ” คือการทำงานเป็นทีมร่วมกัน
กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
แนวทางการปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมอีกอันหนึ่งคือต้องการให้ผู้ปฏิบัติกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
คำว่ากลับไปเป็นเด็กคือกลับไปสู่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ไม่เสแสร้ง ไม่มายา
ตอนที่เราเป็นเด็กเราดีใจเราก็หัวเราะออกมาดังๆ
เราเสียใจเราก็ร้องไห้มีน้ำตาไหลออกมา
แต่เมื่อเราโตขึ้นเราถูกความเป็นผู้ใหญ่กดทับความรู้สึกบริสุทธิ์นี้ไว้
เราถูกความมีหน้ามีตากดทับไว้ เราถูกหน้าที่การงานความรับผิดชอบกดทับไว้
ทำให้บางครั้งเราดีใจมากๆ เราก็แสดงออกมาไม่ได้ บางครั้งเราเสียใจจนอยากร้องไห้เราก็ไม่สามารถทำได้
เพราะคนรอบข้างจะบอกกับเราว่า ‘โตแล้วยังร้องไห้อีก’
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น