วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ที่นี่หมู่บ้านพลัม..ไม่สนใจของขลัง (ตอนที่ ๑)



"สังฆะในความหมายใหม่"
                                                                             พระชาย วรธัมโม / เรื่อง               
                                                                           พระสมบูรณ์ สุมังคโล / ภาพ
คมชัดลึก  ศุกร์  3  พฤษภาคม 2556

            เคยมีคนถามว่าการอบรมปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมเขาปฏิบัติอะไรกันบ้าง รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ตอบยากเพราะการปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมไม่ใช่การสอนให้รู้จักการภาวนาเจริญสติเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมเรื่องอื่นๆ เข้าไปไว้ในการปฏิบัติธรรมด้วย ที่สำคัญก็คือหมู่บ้านพลัมไม่สนใจพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือของขลัง แต่สนใจให้คนลงมือปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมกันจริงๆ มากกว่า

          การมาเยือนเมืองไทยของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ในวัย ๘๗ ปีครั้งนี้ ยังคงชักชวนให้คนไทยมาลิ้มรสธรรมะโดยปราศจากเครื่องรางของขลังเช่นเคย ภายใต้หัวข้อการปฏิบัติธรรม จริยธรรมประยุกต์ มีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้เข้าร่วมที่เป็นครู อาจารย์ หรือบุคลากรที่ทำงานด้านการสอน 

การปฏิบัติธรรมครั้งนี้เกิดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วังน้อย พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ ๔-๘ เมษายนที่ผ่านมา รายการปฏิบัติธรรมที่เหลืออีกสองรายการที่นครนายกถูกจองเต็มทันทีที่เปิดให้จองเพียงสัปดาห์แรก

                                   




เริ่มต้นด้วยการร้องเพลง
วันแรกของการปฏิบัติธรรมเริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑ ทุ่ม การปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสมาทานศีล ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ตามรูปแบบที่มักปฏิบัติกัน แต่เริ่มต้นด้วยการร้องเพลงประสานเสียงของคณะนักบวชชายหญิงจากหมู่บ้านพลัม เป็นการปลุกผู้ฟังให้ตื่นจากความหลับไหลไปกับเสียงร้องเพลงธรรมะที่ไพเราะยากจะหาฟังได้จากที่ไหน 

การร้องเพลงขัดกับวินัยที่พระพุทธเจ้าห้ามนักบวชร้องเพลงมิใช่หรือ ทำไมนักบวชหมู่บ้านพลัมจึงร้องเพลงกันได้ คำตอบคือการร้องเพลงของนักบวชหมู่บ้านพลัมไม่ได้ร้องเพื่อกระตุ้นอารมณ์เหมือนเพลงประโลมโลกทั่วไป แต่เป็นการร้องที่นำไปสู่การตระหนักรู้ในการปฏิบัติ เป็นบทเพลงที่ทำให้ผู้ปฏิบัติตระหนักรู้ในความเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เป็นบทสวดที่กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตาต่อการรับฟังความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ ถ้าบทเพลงจะทำให้การหยั่งรู้ลงในธรรมของผู้ร้องหรือผู้ฟังมีมากขึ้นการร้องเพลงนั้นก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน ใครก็ตามที่เข้ามาปฏิบัติภาวนากับหมู่บ้านพลัมสิ่งที่แรกๆ ที่ต้องทำก็คือการร้องเพลง

การร้องเพลงในขณะที่เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ในความหมายหนึ่งคือการได้ปลดปล่อยความทุกข์ทางใจออกไป ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเพิ่มพลังในการปฏิบัติธรรมไปด้วยเมื่อเนื้อหาของเพลงจูงใจผู้ร้องและปลุกใจผู้ฟังในเกิดความมั่นคงในการปฏิบัติ หนทางของมหายานอาจจะมีความแตกต่างจากเถรวาทด้วยมุมมองธรรมะที่กลับด้านออกไป

เมื่อร้องเพลงจบหลวงปู่ลงมาบรรยายธรรมข้างล่างแทนที่จะพูดบนเวทีเพื่อความใกล้ชิดคนฟังยิ่งขึ้น
หลวงปู่กล่าวถึงความสุขว่า ถ้าเรามีความสุขเราจะสามารถทำให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเรามีความสุขไปด้วย แต่เมื่อใดที่เรามีทุกข์ เรามีความโกรธ มีความหงุดหงิด สิ่งเหล่านั้นจะกระจายไปยังคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราด้วยเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีความสุขเราก็ไม่มีอะไรจะให้คนอื่น ถ้าเรามีความสุขเราก็สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ด้วยพร้อมยกตัวอย่างให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าเป็นครูที่มีความสุขที่สุดในโลกคนหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ามีความสุขมากมาย พระองค์ก็สามารถช่วยให้คนมากมายเหล่านั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ด้วยเช่นกัน นี่เป็นคำสอนง่ายๆ ที่ทำให้เห็นว่าเรามีส่วนช่วยให้บุคคลรอบๆ ตัวเรามีความสุขได้เพียงเราทำตัวเองให้มีความสุขภายในเสียก่อน เมื่อนั้นความสุขจากภายในของเราก็จะแผ่กระจายออกไปยังบุคคลรอบข้าง




สังฆะในความหมายใหม่
          ทุกครั้งที่หลวงปู่เดินทางไปจัดภาวนาที่ไหนก็ตามท่านจะไปพร้อมกับภิกษุภิกษุณีจำนวนมากมาย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านมากันเป็นคณะใหญ่พร้อมด้วยนักบวชชายหญิงจำนวน ๑๖๐ รูป เพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมจำนวน ๗๐๐ คน ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมจำนวนมากขนาดนี้ถ้าไม่ใช่มืออาชีพคงจัดการให้เพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติธรรม ๕ วันไม่ได้แน่ แต่ใครจะรู้ว่าที่ต้องมากันเป็นคณะใหญ่ก็เพราะหลวงปู่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจคำว่า สังฆะ ในความหมายใหม่ว่าหมายถึง การอยู่ร่วมกันของผู้ปฏิบัติธรรม โดยไม่จำกัดว่าต้องหมายถึง คณะสงฆ์ อย่างที่ชาวพุทธทั่วไปเข้าใจกัน อาจเป็นกลุ่มฆราวาสด้วยกันก็ได้

          ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมประมาณ ๗๐๐ คนได้ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มสังฆะย่อยซึ่งเรียกว่า กลุ่มครอบครัวประมาณ ๒๐ กลุ่ม โดยมีนักบวชจากหมู่บ้านพลัมเข้าไปกำกับดูแลกลุ่มสังฆะย่อยทุกกลุ่มคล้ายเป็นพี่เลี้ยงธรรมะในกลุ่มสังฆะนั้นเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมมีโอกาสพูดคุยกับนักบวชและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันอย่างทั่วถึง นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลวงปู่ต้องพานักบวชติดตามไปด้วยมากมาย เพื่อเป็นการแบ่งงานกันทำตามความหมายของ สังฆะ เมื่อนักบวชมีโอกาสนำภาวนาในกลุ่มย่อย ก็ทำให้นักบวชเกิดการเจริญเติบโตจากการได้เป็นผู้นำ ไม่ใช่หลวงปู่เก่งเพียงคนเดียวแต่ลูกศิษย์ไม่เอาไหนเลย นี่เป็นวิธีการฝึกลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดของอาจารย์ทีเดียว

          นั่นเป็นส่วนของการบริหารจัดการผู้เข้าร่วมจำนวนมาก หมู่บ้านพลัมยังต้องบริหารจัดการเรื่องเครื่องเสียงที่นำไปเองด้วย ใครจะรู้ว่าแต่ละครั้งที่หลวงปู่ไปจัดกิจกรรมภาวนาที่ไหนก็ต้องพกพาเครื่องเสียงไปเองทั้งไมโครโฟน ลำโพง เครื่องขยายเสียง หูฟังสำหรับการแปลภาษาในกรณีที่มีผู้เข้าร่วมเป็นชาวต่างประเทศ และยังต้องจัดหาอาสาสมัครมาเป็นล่ามแปลเป็นภาษาต่างๆ บางครั้งนักบวชในหมู่บ้านพลัมก็เป็นล่ามให้เพราะนักบวชในหมู่บ้านพลัมมาจากหลายชาติหลายภาษา และยังมีการบันทึกวิดีโอ บันทึกภาพนิ่ง เหล่านี้เป็นหน้าที่ของนักบวชในหมู่บ้านพลัมจัดการเองทั้งสิ้น

          ถามว่าทำไมต้องมีเครื่องเสียงไปเอง เพราะหลวงปู่ให้ความสำคัญกับการฟังมาก ธรรมะดีแต่ถ้าเครื่องเสียงไม่ดีการบรรยายธรรมะก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง ในเมื่องานหลักของหมู่บ้านพลัมคือการเผยแพร่ธรรมะ การมีครื่องเสียงไปเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น เหมือนกับวงดนตรีที่ต้องการให้คนฟังประทับใจก็ต้องมีเครื่องเสียงที่มีคุณภาพ ทั้งหมดคือความหมายของ สังฆะ คือการทำงานเป็นทีมร่วมกัน


กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
          แนวทางการปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมอีกอันหนึ่งคือต้องการให้ผู้ปฏิบัติกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง คำว่ากลับไปเป็นเด็กคือกลับไปสู่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ไม่เสแสร้ง ไม่มายา

          ตอนที่เราเป็นเด็กเราดีใจเราก็หัวเราะออกมาดังๆ เราเสียใจเราก็ร้องไห้มีน้ำตาไหลออกมา แต่เมื่อเราโตขึ้นเราถูกความเป็นผู้ใหญ่กดทับความรู้สึกบริสุทธิ์นี้ไว้ เราถูกความมีหน้ามีตากดทับไว้ เราถูกหน้าที่การงานความรับผิดชอบกดทับไว้ ทำให้บางครั้งเราดีใจมากๆ เราก็แสดงออกมาไม่ได้ บางครั้งเราเสียใจจนอยากร้องไห้เราก็ไม่สามารถทำได้ เพราะคนรอบข้างจะบอกกับเราว่า โตแล้วยังร้องไห้อีก’ 

          แต่สำหรับหมู่บ้านพลัมแล้ว เราดีใจเราก็หัวเราะออกมาดังๆ ได้ เราเสียใจเราก็ร้องไห้ได้ นักบวชในหมู่บ้านพลัมทั้งชายหญิงร้องไห้เป็นกันทุกรูป เพราะทุกคนเรียนรู้จากหลวงปู่ว่าเราไม่ควรเสแสร้งกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา เมื่อเราหัวเราะเราก็มีสติระลึกรู้ไปกับการหัวเราะ เมื่อเราร้องไห้เราก็มีสติไปกับการร้องไห้ เพราะเราตระหนักรู้ว่ามันเป็นเพียงภาวะชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป การกดทับอารมณ์เหล่านั้นไว้มีแต่จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพจิต การได้ปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกไปอย่างเหมาะสมและมีการระลึกรู้เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง.           

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น