วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

The Great Transformation การแปรเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่


พระชาย วรธัมโม                                  คมชัดลึก    เสาร์  8  มิถุนายน  2556


          สามปีที่แล้วตอนเรียนวิชาศาสนาต่างๆ (Religions) อาจารย์ดิออน พีเพิ่ล (Dion Peoples) ให้นักเรียนใช้หนังสือการแปรเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ (The Great Transformation) ของคาเรน อาร์มสตรอง (Karen Armstrong) เราเห็นว่าเป็นหนังสือที่อ่านยากจึงนำไปให้เพื่อนชาวออสเตรเลียฟิลลิป บราวฮิล (Phillip Brownhill) ช่วยแปลให้บางส่วน จึงค้นพบว่าชื่อหนังสือ The Great Transformation มีความหมายที่ยิ่งใหญ่และน่าสนใจมากพอๆ กับเนื้อหาข้างใน

          ต่อมาเราไปเจอบทความแปลของอาจารย์มัทนา เกษตระทัต ในบล็อก Go to know อาจารย์แปลบางตอนของหนังสือแล้วนำเผยแพร่ในบล็อก จึงมีโอกาสสนทนากับอาจารย์เกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ทำให้เกิดความกระจ่างมากขึ้น บทความนี้เกิดขึ้นได้เพราะ อ.ดิออน อ.มัทนาและเพื่อนฟิลลิป ขอบคุณสามท่านมากๆ

          หนังสือ The Great Transformation เป็นหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์การเกิดศาสนาต่างๆ บนโลก โดยเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่ายุคเอเซียล (Axial Age) ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ ๔๐๐ ปีก่อนพุทธกาลจนถึงประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนขนมเค้กก้อนโต ในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เรามีเปรียบเหมือนขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ถูกตัดแบ่งออกมาจากขนมเค้กก้อนโต้อีกที การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เท่ากับเรากำลังเติมเต็มความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของศาสนาในส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจศาสนาที่เรากำลังนับถืออยู่มากยิ่งขึ้น




                                          หนังสือ The Great Transformation




                บทแรกของหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงชาวอารยันที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบตอนใต้แถบรัสเซีย ต่อมาชาวอารยันได้แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งย้ายถิ่นฐานลงไปทางใต้ไปปักหลักอยู่แถวอิหร่านตะวันออก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งย้ายถิ่นฐานลงไปอาศัยในแถบลุ่มน้ำสินธุซึ่งก็คือประเทศอินเดียกับปากีสถานในปัจจุบัน ใครที่เคยอ่านพุทธประวัติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรส จะพบว่าในหน้าแรกก็พูดถึงชาวอารยันที่อพยพมาจากตอนเหนือของภูเขาหิมาลัยลงมาอาศัยแถบชมพูทวีปซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันเลย ชาวอารยันกลุ่มนี้คือบรรพบุรุษของกษัตริย์ศากยะวงศ์ เจ้าชายสิทธัตถะก็มีเชื้อสายมาจากชาวอารยันกลุ่มนี้

          ช่วงที่ชาวอารยันยังคงอยู่ที่ทุ่งราบแถบรัสเซีย ช่วงเวลานั้นยังมีความสงบสุขปราศจากสงคราม พวกเขานับถือเทพเจ้าบนฟากฟ้า ต่อมาประมาณ ๗๐๐ ปีก่อนพุทธกาลพวกเขาทำการสู้รบเบียดเบียนทำร้ายกันเองจนกลายเป็นสงคราม ทำให้กลุ่มที่ถูกเบียดเบียนที่เคยนับถือเทพเจ้าบนฟากฟ้าหันมาบูชาเทพเจ้าชื่อมาสด้าแล้ววิวัฒนาการเป็นศาสนาชื่อโซโรอัสเตอร์ กลุ่มที่ถูกเบียดเบียนเชื่อว่าเทพเจ้ามาสด้าสามารถปกป้องพวกเขาจากการถูกเบียดเบียนจากฝ่ายตรงข้าม ศาสนาโซโรอัสเตอร์จึงถือกำเนิดขึ้น ณ บัดนั้น

ศาสนาโซโรอัสเตอร์จัดเป็นศาสนาแรกๆ ที่เกิดชึ้นในยุคเอเซียล ต่อมาชาวอารยันกลุ่มที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานแถบอิหร่านตะวันออกได้นำเอาศาสนาโซโรแอสเตอร์ไปด้วย ศาสนาโซโรแอสเตอร์จึงเจริญอยู่ที่อิหร่านจนวิวัฒนาการกลายมาเป็นศาสนายูดาย คริสต์และอิสลามในดินแดนอิสราเอลซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา 

          ในยุคเอเซียลนอกจากดินแดนอิสราเอลซึ่งให้กำเนิดศาสนาขึ้นมาแล้ว ยังมีดินแดนอีก ๓ แห่งที่มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับศาสนาและการค้นหาความจริง ในจีนเกิดลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า ในชมพูทวีปเกิดศาสนาฮินดูและพุทธ ในขณะที่กรีกเกิดนักคิดนักปรัชญา โซเครติส เพลโต้ อริสโตเติล มันเป็นเรื่องน่าประหลาดที่จู่ๆ ผู้คนในส่วนต่างๆ ของโลกทั้ง ๔ ดินแดนต่างให้ความสนใจในเรื่องศาสนาและการแสวงหาความจริงของชีวิตขึ้นมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

          The Great Transformation หรือ การแปรเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ ที่คาเรน อาร์มสตรอง นำมาใช้เป็นชื่อหนังสือ อ.มัทนาให้ความเห็นว่ามีความหมาย ๓ นัยยะด้วยกัน

๑)   หมายถึงยุคที่มนุษย์หันมาให้ความสนใจในเรื่องการค้นหาความจริงของชีวิต การเข้าถึงพระเจ้า จนทำให้เกิดศาสนาและปรัชญาขึ้นมาในช่วงเวลานั้น

๒)  หมายถึงศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้คงความเป็นศาสนานั้นตลอดไปแต่มีวิวัฒนาการแปรเปลี่ยนไปเป็นศาสนาต่างๆ เช่น จากโซโรอัสเตอร์พัฒนาเป็นยูดาย จากยูดายพัฒนาเป็นคริสต์และอิสลาม ในขณะที่ฮินดูก็พัฒนาเป็นพุทธ

๓)  หมายถึงการแปรเปลี่ยนตัวเองของผู้นับถือศาสนา คือการเข้าถึงพระเจ้า เข้าถึงพรหม เข้าถึงนิพพาน
คาเรนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกศาสนาต่างมีข้อความบางอย่างที่ต้องการสื่อสารคล้ายๆ กัน นั่นก็คือ หากท่านไม่ชอบให้ผู้อื่นทำกับท่านอย่างไร ท่านก็จงอย่าทำเช่นนั้นกับผู้อื่น พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือมนุษย์จงอย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน จงมีเมตตากรุณาต่อกัน ศาสนาและศีลธรรมได้เกิดขึ้น ณ ยุคเอเซียลนี้เอง นั่นหมายความว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขมาตลอด ความไม่สงบหรือสงครามเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาจนเป็นเหตุให้เกิดศาสนาขึ้น

ดังนั้น ความหมายของศาสนาจึงมีอยู่ ๒ ประการ คือ หล่อหลอมให้มนุษย์มีความเมตตากรุณาต่อกัน และมุ่งหวังให้มนุษย์ละทิ้งอัตตาตัวตนและความเห็นแก่ตัวออกไป แต่เมื่อพูดมาถึงบรรทัดนี้เรากลับพบว่าหลังจากที่เราเริ่มมีศาสนากันมากลับทำให้มนุษย์เราทำสงครามกันในนามศาสนากันมาตลอด คงเพราะเรายึดติดในศาสนามากเกินไปจนทำให้เราลืมความหมายเดิมแท้ของศาสนาว่าศาสนาสอนให้ละวางไม่ใช่สอนให้เรายึดติด บางทีการเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นก็คือการก้าวข้ามผ่านฉลากศาสนาที่แปะอยู่กลางหน้าผากแห่งความยึดติดของเราเอง

            คาเรนในอดีตเมื่ออายุ ๑๗ เธอตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นแม่ชีแคทอลิคเพราะเธอต้องการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เวลาผ่านไป ๗ ปี ระบบในคอนแวนต์ไม่สามารถสนับสนุนให้เธอเข้าใจในพระเจ้าได้ เพราะที่นั่นต้องการศรัทธาเป็นที่ตั้งในขณะที่คาเรนยังมีความสงสัย หลายคำถามที่เธอมีไม่อาจพบกับความกระจ่างได้ ในที่สุดเธอจึงออกมาใช้ชีวิตฆราวาสเมื่ออายุ ๒๔ หลังจากนั้นเธอเริ่มศึกษาศาสนาต่างๆ จนเกิดแรงบันดาลใจให้เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับศาสนาออกมา ๑๖ เล่ม หนึ่งในนั้นมีพุทธศาสนารวมอยู่ด้วย จนบางครั้งเธอแทบจะรู้ดีกว่าเจ้าของศาสนานั้นๆ ด้วยซ้ำ ในที่สุดเธอก็ค้นพบการเปลี่ยนผ่านอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความเข้าใจในศาสนา เธอพบว่าแท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางของทุกศาสนาแม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เช่น พระเจ้า พรหม เต๋า ความว่าง ความเป็นหนึ่งเดียว อัลเลาะห์ หรือแม้แต่นิพพาน แท้จริงแล้วมันคือความจริงที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่สามารถเข้าถึงได้ด้วยจิตใจและความรู้สึก



                      คาเรน อาร์มสตรอง (๖๙ ปี) ผู้เขียนหนังสือ The Great Transformation

          มีคนเคยถามคาเรนว่าเธอนับถือศาสนาอะไร เธอตอบว่า 
โดยปกติแล้วฉันมักจะตอบแบบเล่นๆ ว่าฉันเป็นคนนับถือพระเจ้าไม่จำกัดศาสนา ฉันอยู่กับพระเจ้าแห่งอับราฮัมทั้งสาม (ยูดาย คริสต์ อิสลาม) ฉันไม่เห็นว่าพระเจ้าองค์ใดจะมีเอกสิทธิ์ในความจริงกว่าองค์ใด หรือไม่เห็นว่าพระเจ้าองค์หนึ่งจะใหญ่กว่าอีกองค์หนึ่ง พระเจ้าแต่ละองค์ต่างมีปรีชาญาณและต่างก็มีหลุมพรางให้เราตกลงไปได้เท่าๆ กัน เมื่อเร็วๆ นี้ฉันเขียนบทความสั้นๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และฉันก็รู้สึกหลงใหลในสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาจิตวิญญาณ ความเมตตากรุณา การละวางตัวตนก่อนเข้าสู่นิพพาน ในมุมมองของฉันแล้วความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเหล่านั้นกำลังพูดเรื่องเดียวกัน บนหนทางเดียวกัน แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันก็ตาม มันคือเรื่องเดียวกัน

          ถึงที่สุดแล้ว การแปรเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ ในความหมายของ คาเรน อาร์มสตรอง คือการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกศาสนา ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของศาสนานั้นจะมีชื่อเรียกว่าอะไรก็ตาม.








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น